โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ ยืนยันว่าจะยังไม่ออกจากตำแหน่งกุนซือทีมชาติ เบลเยี่ยม ภายหลังร่วงตกรอบก่อนรองชนะเลิศในศึกยูโร
เบลเยี่ยม และนักเตะเหล่ายุคทองของพวกเขาถูกคาดหมายว่าจะนำพาความสำเร็จสู่ประเทศได้ในซัมเมอร์นี้ ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไปไม่ถึงเป้าดังกล่าว
พวกเขาผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มหลังกวาดชัย 3 เกมรวดและเขี่ย โปรตุเกส ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วย แต่ก็มาจอดในการเจอกับ อิตาลี รอบก่อนรองชนะเลิศ
ตอนนั้นกุนซือวัย 47 ปีบอกว่าความเจ็บปวดจากความพ่ายแพ้ยังมากเกินที่เขาจะตัดสินใจเรื่องอนาคต แต่ตอนนี้เขายืนยันแล้วว่าจะอยู่ทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าตัวเองจะมอบอะไรใหม่ๆให้กับทีมไม่ได้
“เมื่อถึงเวลาที่ผมรู้สึกว่าผมมอบอะไรให้ทีมไม่ได้แล้ว ผมจะเป็นคนแรกที่ยอมยกธงขาว” มาร์ติเนซ กล่าวในงานแถลงข่าว
“หลังจากจบเกมพบกับ อิตาลี น่ะเต็มไปด้วยความน่าผิดหวังอย่างยิ่ง แต่เราหันไปโฟกัสที่ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในเดือนกันยายน และไฟนัลโฟร์ของเนชันส์ ลีกในอีเดือนนึงให้หลัง”
“พอถึงเวลาที่ผมรู้สึกว่าผมมอบอะไรให้อีกไม่ได้แล้วผมจะอำลาไป มีการพูดถึงเรื่องอนาคตของผมเยอะมาก ทั้งก่อนทัวร์นาเมนต์, ระหวางทัวร์นาเมนต์และหลังทัวร์นาเมนต์ ผมว่าเป็นเรื่องยากที่จะพูดถึงตัวผมเพราะเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับตัวผม”
“มันเป็นเรื่องของการสร้างปัจจัยที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้นักฟุตบอลซ้อมและพัฒนาตัวเอง ผมยังเห็นนักเตะเหล่านี้มีเอเนอร์จี้ในตัวอีกเยอะและโปรเจ็คท์นี้ยังโตขึ้นได้อีก”
“ทีมชุดนี้พร้อมที่จะเดินหน้าต่อ, กลับไปลงสนาม อดใจรอให้ถึงเดือนกันยายนไม่ไหวแล้วล่ะ”
นอกจากตัวเขาแล้ว ยังมีการพูดถึงนักเตะในทีมชาติ เบลเยี่ยม หลายๆคนว่าจะเลิกเล่นด้วยหรือไม่หลังร่วงจากยูโร โดยแกนหลักอย่างเช่น ยาน แฟร์ทองเก้น, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, อักเซล วิตเซล, เอแด็ง อาซาร์ และ เควิน เดอ บรอยน์ ต่างอายุขึ้นเลขสามกันหมดแล้ว
ถึงอย่างนั้น มาร์ติเนซ บอกว่าไม่มีใครคิดเรื่องเลิกเล่น แต่จากนี้ไปเหล่าดาวรุ่งของประเทศต้องก้าวขึ้นมาและคว้าโอกาสเพื่อสานต่อสิ่งที่รุ่นพี่ทำเอาไว้
“ไม่มีใครคิดเรื่องเลิกเล่นนะ นักเตะชุดนี้อยากที่จะลุยต่อทันที, ทำให้ดีกว่านี้”
“อีกด้านนึงก็ไม่มีนักเตะคนไหนที่ผมขุ่นเคืองและจะไม่เรียกมาติดทีมชาติอีก นักเตะไม่ได้ล้มเหลวในทัวร์นาเมนต์นี้”
“มีนักเตะดาวรุ่ง 12 คนที่ได้มีส่วนร่วมกับทีมชาติแล้วและ 4 คนจากนั้น, เฌเรมี่ โดกู, ซิโน ฟานเฮอสเดน, ชาร์เลส เด เคเตลาเร่ และ ยารี เฟอร์สชาเรน, ก็ได้ลงสนามมาหลายหน”
“12 เดือนถัดจากนี้จะเป็นช่วงที่สำคัญมากสำหรับพวกเขา พวกเขาต้องกล้าที่จะสู้กับนักเตะเก๋าๆ”
“หน้าที่ของเราคือการช่วยให้ดาวรุ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมอันเหมาะสม, สร้างปัจจัยที่จะทำให้พวกเขางัดฟอร์มออกมา หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ฟุตบอลเป็นตัวตัดสิน ในฐานะโค้ชแล้วคุณทำได้เพียงแค่ดันเด็กที่พร้อมขึ้นมาอยู่ในทีม”
“เพียงแค่อายุน้อยและมีพรสวรรค์นี่ไม่พอหรอกนะ เราต้องสนับสนุนและช่วยพัฒนาแข้งเหล่านั้น, ขัดเกลาเรื่องคุณภาพ ที่ผ่านมานักเตะพรสวรรค์เคยล้มเหลวกันมาหลายคน”