เกมการแข่งขัน ระหว่าง เจ้าถิ่น ทัพสิงโตคำราม ทีมชาติ อังกฤษ เปิดสนาม เวมบลีย์ สเตเดี้ยม, กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ต้อนรับการมาเยือนของทัพอัซซูรี่ ทีมชาติ อิตาลี ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือฟุตบอลยูโร 2020 รอบชิงชนะเลิศ ในค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ 11 กรกฏาคม 2564 ที่ผ่านมา
เกมนี้ เจ้าถิ่น ทีมชาติ อังกฤษ ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ แกเร็ธ เซาธ์เกต มาเล่นในระบบ 3-4-3 นำทีมโดย แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ปราการหลังตัวเก่งจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมสัน เมาน์ท เพลย์เมกเกอร์จากเชลซี และ แฮร์รี่ เคน ศูนย์หน้าตัวความหวังของทีมจากท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์
ขณะที่ทางฝั่งทีมเยือน ทีมชาติ อิตาลี ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ โรแบร์โต้ มันชินี่ มาเล่นในระบบ 4-3-3 นำทีมโดย จอร์โจ้ คิเอลลินี่ กองหลังตัวเก๋าจากยูเวนตุส มาร์โก แวร์รัตติ กองกลางห้องเครื่องจากปารีส แซงต์ แชร์กแมง และ ชิโร่ อิมโมบิเล่ กองหน้าตัวจบสกอร์จากลาซิโอ
นาที 2 GOAL!!!
เริ่มเกมมาได้แต่แปปเดียว เป็นทางฝั่งเจ้าถิ่น ทีมชาติ อังกฤษ ได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็วตั้งแต่ไก่โห่ 1-0 !!! เป็นจังหวะ เริ่มที่ แฮร์รี่ เคน ที่ลงมาล้วงบอลถึงกลางสนาม ก่อนจะจ่ายขวางสนามออกมาทางมุมกรอบเขตโทษด้านขวาให้ คีแรน ทริปเปียร์ ที่วิ่งเติมสูงขึ้นมา ได้มีเวลาตั้งป้อมบรรจงครอสบอลไปที่หน้าเสาไกลซ้ายมือถวายพานให้ ลุค ชอว์ สอดมาแปด้วยซ้ายเน้น ๆ ไม่จับ พุ่งเบียดเสาใกล้ เข้าประตูไป ตุงตาข่าย อย่างสวยงาม เป็นประตูแรกของเจ้าตัวในนามทีมชาติอังกฤษอีกด้วย
นาที 7
ทีมเยือน ทีมชาติ อิตาลี มาได้ฟรีคิกระยะอันตราย หน้ากรอบเขตโทษ เยื้อง ๆ ไปทางขวา แล้วเป็น ลอเรนโซ่ อินซินเย่ รับหน้าที่ วิ่งมาปั่นด้วยขวาเน้น ๆ ข้ามกำแพง แต่บอลมุดช้า เหินข้ามคาน หลุดออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย
นาที 20
ทีมเยือน อิตาลี พยายามจะตั้งเกมบุก หวังตีเสมอให้ได้ แต่จังหวะสุดท้ายก็ยังขาด ๆ เกิน ๆ ส่วนทางด้านเจ้าถิ่น อังกฤษ หลังจากขึ้นนำเร็ว ดูเหมือนความมั่นใจผุดขึ้นมาเป็นกอง เล่นกันได้อย่างคึกคัก วิ่งสู้ฟัดบีบเกมของอิตาลี จนขึ้นเกมกันลำบาก
นาที 22
เกมต้องหยุดไปพักใหญ่ ๆ หลังจาก จอร์จินโญ่ เข้าปะทะแย่งบอลกับ ราฮีม สเตอร์ลิง จนมีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า แพทย์สนาม ต้องลงมาดูอาการอยู่นานสองนาน ก่อนที่เจ้าตัว จะฝืนกลับมาลงสนาม เล่นต่อได้ไม่มีปัญหา
นาที 27
ทีมเยือน อิตาลี ต่อบอลกันขึ้นมาตรงกลาง ลอเรนโซ่ อินซินเย่ ได้บอลที่หน้ากรอบเขตโทษ พลิกมาได้สวย แล้วขอลองส่องไกลด้วยขวานอกกรอบ แต่บอลก็พุ่งกระดอนพื้น หลุดกรอบซ้ายมือ ออกหลังไปไกล แบบไม่ได้ลุ้นเลย
นาที 30
เกมผ่านมาครึ่งชั่วโมง ทีมเยือน ทีมชาติ อิตาลี เริ่มครองบอลได้มากอย่างเห็นได้ชัด ค่อย ๆลำเลียงต่อบอลขึ้นมาถึงหน้าเขตโทษของเจ้าถิ่นได้มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่จังหวะในพื้นที่สุดท้าย ยังไม่สามารถเจาะแนวรับสิงโตคำราม เข้าไปจบสวย ๆ ได้เลย
นาที 34
ทีมเยือน อิตาลี มีโอกาสได้ลุ้นประตูตีเสมอ เป็นจังหวะ เฟเดริโก้ เคียซ่า ได้บอลตรงกลางสนาม โชว์ความพลิ้ว เลี้ยงหนีเอาชนะ เดแคลน ไรซ์ แล้วกระชากขึ้นมาเองถึงหน้าหัวกระโหลก ก่อนจะซัดเลียดหักข้อด้วยซ้ายเน้น ๆ พุ่งแรงกระดอนพื้น เฉียดเสาแรกขวามือ หลุดออกหลังไปนิดเดียว จอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตูเจ้าถิ่น ได้แต่ยืนมองแล้วด้วย
นาที 45
ทีมเยือน อิตาลี บุกขึ้นมาทางกราบขวา โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่ เลี้ยงพาบอลขึ้นมาเองถึงมุมกรอบเขตโทษ ก่อนจะครอสเข้าไปที่กลางประตูให้ ชิโร่ อิมโมบิเล่ ได้วิ่งสอดมาวอลเลย์ด้วยขวาไม่จับ พุ่งไปติดบล็อกของ จอห์น สโตนส์ เต็ม ๆ กระเด้งออกมาหน้ากรอบเขตโทษเข้าทาง จอร์จินโญ่ ไหลสั้น ๆ มาที่หัวกระโหลกให้ มาร์โก แวร์รัตติ ได้พลิกตัวยิงเลียดด้วยซ้าย ซ้ำเข้าไปอีกที แต่บอลก็ยังไปตรงตัวของ จอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตูเจ้าถิ่น รับไว้ได้อย่างไม่ยากเย็น
นาที 45+3
ช่วงก่อนหมดเวลาครึ่งแรก ทีมเยือน อิตาลี ได้ลุ้นเฮือกสุดท้าย เป็นจังหวะ ต่อบอลกันขึ้นมาตรงกลาง เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ดันสูงขึ้นมารับบอลที่หน้าเขตโทษ ก่อนจะขอลองส่องไกลด้วยขวานอกกรอบเขตโทษ แต่บอลก็พุ่งแรงหลุดกรอบออกไปไกล แบบไม่ได้ลุ้นเลย
หมดเวลาครึ่งแรก เป็นเจ้าถิ่น ทีมชาติ อังกฤษ ที่ได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นเกม แล้วหลังจากนั้น เกมก็ตกเป็นของฝั่งทีมเยือน อิตาลี ที่ครองบอลบุกอยู่แทบจะฝั่งเดียว แต่ก็ยังตีเสมอไม่ได้ สุดท้ายสกอร์ตอนนี้อยู่ที่ อังกฤษ 1 อิตาลี 0 !!!
นาที 48
เปิดฉากครึ่งหลังมา เจ้าถิ่น ทีมชาติ อังกฤษ บุกใส่ทีมเยือนทันที จังหวะนี้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ได้บอลทางกราบขวา ก่อนจะพยายามติดเครื่อง เลี้ยงลุยเข้าไปในเขตโทษ แล้วโดนสกัดล้มลงไป เจ้าตัวโวยวายฟ้องจะเอาจุดโทษ แต่ บียอร์น ไคเปอร์ส ผู้ตัดสินจากเนเธอร์แลนด์ ไม่ได้ว่าอะไร และให้เล่นต่อไป
นาที 50
ทีมเยือน อิตาลี ได้ฟรีคิกระยะอันตราย บริเวณหัวกระโหลก เยื้อง ๆ มาทางซ้าย แล้วเป็น ลอเรนโซ่ อินซินเย่ รับอาสา วิ่งมาปั่นด้วยขวาเน้น ๆ ข้ามกำแพง แต่บอลก็เฉียดคาน หลุดออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย
นาที 54
ทีมเยือน อิตาลี ปรับแผนอย่างรวดเร็ว โดยที่ โรเแบร์โต้ มันชินี่ กุนซือมาดเนียบ ตัดสินใจเฉียบขาด ถอดเอา ชิโร่ อิมโมบิเล่ กองหน้าตัวจบสกอร์ และ นิโกโล่ บาเรลล่า กองกลางห้องเครื่อง ที่ครึ่งแรกไม่ค่อยมีบทบาทด้วยกันทั้งคู่ ไปพักที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง ไบรอัน คริสตันเต้ กับ โดมินิโก้ เบร์ราดี้ ลงสนามมาเพิ่มมิติในเกมรุกแทน
นาที 56
ทีมเยือน อิตาลี บุกขึ้นมาทางกราบซ้าย เฟเดริโก้ เคียซ่า เปลี่ยนฝั่งมาอยู่ทางซ้าย เลี้ยงจี้เข้าไปในเขตโทษ แล้วเปิดเลียดยัดเข้ากลางให้ ลอเรนโซ่ อินซินเย่ ได้วิ่งสอดมาแตะบอลมาถึงหน้าเสาแรกซ้ายมือ แล้วซัดด้วยซ้ายยัดมุมแคบทันที แต่ก็ยังไปติดเซฟของ จอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตูเจ้าถิ่น ที่ยืนปิดมุมไว้อยู่แล้ว ปัดทิ้งไว้ได้ทันหวุดหวิด
นาที 61
ทีมเยือน อิตาลี เกือบได้ประตูตีเสมอ เป็นจังหวะ เฟเดริโก้ เคียซ่า พาบอลขึ้นมาเองทางซ้าย เลี้ยงจี้เข้าเขตโทษ แล้วกระชากหนีกองหลังอังกฤษสองสามคนตัดเข้าใน ก่อนจะโยกหาช่องจนเจอ แล้วซัดเลียดด้วยขวาเน้น ๆ บอลกำลังจะเสียบโคนเสาไกลขวามือเข้าประตูอยู่แล้ว แต่ จอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตูเจ้าถิ่น โชว์ซูเปอร์เซฟ ผวาทิ้งตัว พุ่งไปปัดปลายมือ ไว้ได้ทันเฉียดฉิว
นาที 63
เจ้าถิ่น อังกฤษ ได้ลุ้นเหมือนกัน เป็นจังหวะได้เตะมุมทางฝั่งซ้าย คีแรน ทริปเปียร์ เปิดบอลโด่ง โค้งสวยมาที่กลางประตู แล้วเป็น จอห์น สโตนส์ ได้โฉบมาเทคตัวขึ้นโหม่งคนเดียวเต็ม ๆ บอลกำลังจะมุดเสียบใต้คานอยู่แล้ว แต่ก็โดน จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ผู้รักษาประตูทีมเยือน ผวาปัดข้ามคานเอาไว้ได้ทันหวุดหวิด
นาที 66 GOAL!!!
ทีมเยือน ทีมชาติ อิตาลี มาได้ประตูตีเสมอเป็น 1-1 !!! เป็นจังหวะ ได้เตะมุมทางฝั่งขวาโดมินิโก้ เบร์ราดี้ เปิดบอลโค้งมาที่เสาแรกให้ ไบรอัน คริสตันเต้ โฉบมาโหม่งเช็ดไปที่เสาสอง แล้วเป็น มาร์โก แวร์รัตติ ได้โฉบมาโขกเน้น ๆ ติดมือ จอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตูเจ้าถิ่น ไปชนเสาซ้ายมือ กระเด้งมาที่กลางประตูเข้าทาง เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ได้ซ้ำด้วยซ้ายจ่อ ๆ ระยะเผาขน เข้าประตูไป ตุงตาข่าย อย่างสวยงาม
นาที 70
เกมเข้าสู่ช่วง 20 นาทีสุดท้าย เจ้าถิ่น ทัพสิงโตคำราม ทีมชาติ อังกฤษ เกมตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด แกเร็ธ เซาธ์เกต ต้องแก้เกมด้วยการถอดเอา คีแรน ทริปเปียร์ แบ็คขวาจอมบุก ออกไปพักข้างสนาม แล้วจัดการส่งเจ้าหนู บูกาโย่ ซาก้า ลงสนามมาปั้นเกมรุกแทน
นาที 73
ทีมเยือน อิตาลี น่าจะได้ประตูขึ้นนำ เป็นจังหวะ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ดันสูงขึ้นมาถึงกลางสนาม ก่อนจะเงยหน้ามองแล้ว วางบอลยาวข้ามแนวรับคิลเลอร์พาสให้ โดมินิโก้ เบร์ราดี้ ได้วิ่งสอดขึ้นไปทิ้งตัวยิงวอลเลย์ด้วยซ้ายตามน้ำไม่จับ แต่บอลก็เหินข้ามคาน หลุดออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย ต้องชม จอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตูเจ้าถิ่น ที่อ่านเกมได้ดี วิ่งออกมาปิดมุม ทำลายจังหวะได้ทันเฉียดฉิว
นาที 75
เกมผ่านมาครึ่งทางของครึ่งแรก เกมยังไม่ดีขึ้น ทีมชาติ อังกฤษ จัดการส่ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ห้องเครื่องจากลิเวอร์พูล ลงมาช่วยคุมจังหวะในแดนกลาง โดยถอดเอา เดแคลน ไรซ์ ไปพักที่ข้างสนาม
นาที 85
ทีมเยือน อิตาลี ต้องมาเสียผู้เล่นตัวจี๊ดอย่าง เฟเดริโก้ เคียซ่า จากอาการบาดเจ็บ เล่นต่อไม่ไหว แล้วส่ง เฟเดริโก้ แบร์นาร์เดสคี่ ปักตัวจี๊ดอีกคน ลงมาเล่นแทนในตำแหน่งเดียวกัน
นาที 96
เจ้าถิ่น อังกฤษ ได้เตะมุมทางฝั่งซ้าย ลุค ชอว์ เปิดบอลโด่ง โค้งสวยไปที่กลางประตู กองหลังทีมเยือน โหม่งเคลียร์สกัดออกมาที่หน้าเขตโทษเข้าทาง คัลวิน ฟิลลิปส์ ได้พักอกให้บอลลอยขึ้น แล้วฮาล์ฟวอลเลย์ด้วยขวา พุ่งแรงกระดอนพื้นหนีมือ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ผู้รักษาประตูทีมเยือน เฉียดเสาไกลซ้ายมือ หลุดออกหลังไปนิดเดียว
นาที 106
ทีมเยือน อิตาลี มาได้ฟรีคิกระยะอันตราย หน้ากรอบเขตโทษ บริเวณหน้าหัวกระโหลกตรงกลาง แล้วเป็น เฟเดริโก้ แบร์นาร์เดสคี่ วิ่งมาปั่นด้วยซ้ายเน้น ๆ ข้ามกำแพง บอลพุ่งแรงและมุดลง จอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตูเจ้าถิ่น รับบอลกระฉอกออกมา จอร์จินโญ่ พยายามจะเข้ามาซ้ำ แต่ พิคฟอร์ด ก็ยังแก้ตัว ตามมาตะครุบไว้ได้ทัน
นาที 120
หมดเวลาการต่อเวลาพิเศษ ทั้งสองทีม เสมอกันไป 1-1 !!! ต้องดวลจุดโทษหาผู้ชนะ ก่อนที่จะเป็นทีมเยือน อิตาลี ที่แม่นโทษกว่า เอาชนะจุดโทษไปด้วยสกอร์ 3-2 !!! คว้าแชมป์ยูโร ได้สำเร็จ
หมดเวลาการแข่งขัน เป็นทีมเยือน ทีมชาติ อิตาลี ที่เสมอกับเจ้าถิ่น ทีมชาติ อังกฤษ ในเวลา 120 นาที ไปด้วยสกอร์ 1-1 !!! ก่อนที่ทัพอัซซูรี่ จะดวลจุดโทษเอาชนะทัพสิงโตคำราม ไปได้ 3-2 !!! คว้าแชมป์ฟุตบอลยูโร 2020 ไปครองได้สำเร็จ