เบนนี่ แม็คคาร์ธี่ เล่าถึงเบื้องหลังการทำงานโค้ชกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเปิดเผยว่า บรูโน่ แฟร์นานเดส เป็นคนขอฝึกยิงประตูเพิ่มหลังการซ้อมปกติจนกลายเป็นสิ่งที่นักเตะคนอื่นขอมีส่วนร่วม
อดีตกองหน้าของ แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส ได้รับการทาบทามจาก เอริค เทน ฮาก ให้เข้ารับตำแหน่งโค้ชเพื่อช่วยขัดเกลานักเตะในแนวรุก
เขาพูดได้ทั้งภาษาอังกฤษ, สเปน, ดัตช์และโปรตุเกส ทำให้ แม็คคาร์ธี่ สื่อสารกับนักเตะและสตาฟฟ์โค้ชของ “ปีศาจแดง” ได้ง่ายดาย
นอกจากนี้ยังเล่าถึงเบื้องหลังการทำงานของเขาด้วย ยอมรับว่ากดดันที่ได้ร่วมงานกับนักเตะระดับเวิลด์คลาส และคำขอของ บรูโน่ ที่ลงเอยด้วยการจูงใจให้เพื่อนร่วมทีมมามีส่วนร่วมซ้อมการจบสกอร์เพิ่มเติม
“ผมคอยสอนในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับพวกเขา, เพิ่มสิ่งเหล่านั้นเข้าไปในการซ้อม” แม็คคาร์ธี่ บอก
“ผมก็พบกับความกดดันเยอะเพราะได้ร่วมงานกับนักเตะระดับเวิลด์คลาสหลายคนและคุณก็ต้องมีความรู้จริงๆ ผมเอาสิ่งที่ผมรักในสมัยยังเป็นกองหน้ามาใช้ เอาการซ้อมบางอย่างที่กองหน้าชอบมาใช้”
“บางครั้งเราก็เล่นเกมที่ไม่ค่อยได้สัมผัสบอลเยอะนัก แต่คุณได้โอกาสเดียวแล้วก็ซัดเข้าไปได้ ดังนั้นมันไม่ใช่การซ้อมที่ซับซ้อนที่สุดหรอก เป็นเพียงแค่การซ้อมง่ายๆในสถานการณ์ที่กองหน้าต้องเจอ 7 จาก 10 หนตอนลงสนาม”
“ยิ่งคุณมีความสม่ำเสมอเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำได้ง่ายขึ้นเวลาลงสนาม บรูโน่ เป็นคนที่บอกกับผมว่าเขาอยากอยู่ซ้อมเพิ่มเติม”
“พอผ่านไปสักพักก็เริ่มนิยมมากขึ้นและนักเตะครึ่งทีมก็มาร่วมซ้อมพิเศษ แม้แต่กองกลาง, กองหลัง, ฝึกการจบสกอร์เพราะเป็นการซ้อมที่น่าสนุกและตื่นเต้น”
“มีการซ้อมซ้ำๆกันหลายอย่างและเราก็เริ่มทำให้มันกลายเป็นการแข่งขัน ดังนั้นเราต้องหาผู้ชนะของแต่ละวันและนั่นคือวิธีที่ผมทำให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม”
“บรูโน่ มาซ้อมพิเศษทุกวันและ แรชชี่ ก็ตามมา เราสร้างวัฒนธรรมที่การซ้อมจบสกอร์เป็นการแข่งขันและยิงให้ตรงเป้ากรอบอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ก็ทำให้ผู้รักษาประตูต้องขยับ”
แม็คคาร์ธี่ ยังเล่าถึงประสบการณ์ที่เขาพบนับตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งโค้ชกับ แมนฯ ยูไนเต็ด พร้อมยอมรับว่าเป็นเรื่องน่าพอใจที่เห็นผลลัพธ์หลังทุ่มเทให้กับงานอย่างหนัก
“ผมคิดว่าถ้าเอางานของผมที่เคยเป็นเฮดโค้ชให้ เคป ทาวน์ ซิตี้ กับ อามาซูลู ในฤดูกาลเดียว ก็ยังไม่เท่ากับงานที่ผมทำกับ แมนฯ ยูไนเต็ด งานมันไม่มีหยุดยั้งเลย”
“แต่ก็คาดไว้แบบนั้นอยู่แล้วล่ะเพราะระดับของคุณกับจำนวนของนักเตะเวิลด์คลาสที่คุณต้องร่วมงานในแต่ละวัน เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมสุดๆในแต่ละวัน”
“7 โมงเช้า, 7 โมงครึ่ง, เราต้องเข้าออฟฟิศไปจัดสรรการซ้อม, ตารางการซ้อมส่วนบุคคลและข้อมูลทั้งหมด”
“จากนั้นนักเตะจะมาถึงสนามซ้อมและคุณก็มีการพูดคุยส่วนตัวและอะไรแบบนั้น จากนั้นคุณก็ทำงานในออฟฟิศอย่างไม่ลดละในหลายๆสิ่งร่วมกับผู้จัดการทีม พอถึง 6 โมงเย็นคุณก็กลับบ้านหลังทำงานมาทั้งวัน”
“นั่นแค่งานของการเป็นโค้ชเกมรุกนะ ผู้จัดการทีม… แม่เจ้า, น่าตกใจจริงๆ”
“แต่ก็นะ พอคุณเห็นผลลัพธ์และความก้าวหน้าของทีมว่ามาอยู่ในจุดไหนแล้ว คุณก็ไม่แคร์กับความทุ่มเทอย่างหนักที่ทำลงไปหลายต่อหลายชั่วโมง”
“สิ่งนั้นทำให้รู้สึกคุ้มค่าล่ะ เพราะเมื่อคุณเห็นความสำเร็จที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มีในที่ๆคุณไป… ว้าว เราเหมือนเป็นซูเปอร์ฮีโร่เลย”
ความทุ่มเทของสตาฟฟ์โค้ชได้รับผลตอบแทนกลับมาด้วยการเห็น แมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับสามในพรีเมียร์ลีกและกลับไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลหน้า, คว้าแชมป์คาราบาว คัพและเข้าชิงเอฟเอ คัพ