เวย์น รูนี่ย์ ตำนานแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าวว่า “ปีศาจแดง” เจอกับปัญหาและช่องว่างขนาดใหญ่ที่ต้องอุด นับตั้งแต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อำลาทีม
แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นมหาอำนาจลูกหนังฟุตบอลอังกฤษและยุโรป จนกระทั่ง เฟอร์กูสัน วางมือไปเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2012/13 ซึ่งเขาจัดการคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกส่งท้าย
“ตอนที่ เซอร์ อเล็กซ์ รีไทร์ ผมคิดว่าทุกคนรู้ว่ามันจะกลายเป็นงานที่ยากมาก ๆ” รูน กล่าวในรายการ Monday Night Football
“เดวิด มอยส์ เข้ามาทำงานแล้วมันก็ไม่เวิร์ค หลังจากนั้นก็มี หลุยส์ ฟาน ฮาล, โจเซ่ มูรินโญ่, โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เรามีผู้จัดการทีมดี ๆ แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นสโมสรที่แตกต่างจากหลาย ๆ สโมสรทั่วโลก
“มันจำเป็นต้องมีสักคนที่เข้ามาพร้อมได้รับเวลา ให้พาสโมสรกลับไปอยู่ในตำแหน่งที่ควรอยู่ เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นหากคุณเฝ้าเปลี่ยนตัวผู้จัดการทีมทุก 2 ปี
“เฟอร์กูสัน เป็นเหมือนก็อดฟาเธอร์ของสโมสร ไม่ใช่แค่กับนักเตะแต่เป็นทีมสตาฟฟ์ ทีมอคาเดมี่ เขาดูแลทุกอย่าง
“เมื่อคุณสูญเสียคนแบบนั้นไปจากสโมสร คนอื่นเข้ามาและมันคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
“สำหรับ เดวิด มอยส์ ผมคิดมาเสมอว่า ‘มันคืองานที่เป็นไปไม่ได้ในการเข้ามาทำงานแทน อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน’
“เขาเซ็นสัญญา 6 ปี และสโมสรก็พยายามให้เวลาเขา แต่สุดท้ายมันก็ไม่เวิร์ค
“ตอนที่เขา [เฟอร์กูสัน] ย้ายออกไป ทุกคนที่สโมสรรู้สึกสิ้นหวังกันนิดหน่อยแม้ว่าเราจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกในฤดูกาลนั้น
“คนที่อยู่ในอำนาจ และแน่นอนว่านักเตะซีเนียร์ของทีมที่ยังอยู่กับสโมสร รู้ว่ามันจะเป็นความท้าทายครั้งใหญ่
“ผมคิดว่านักเตะสามารถปรับตัวกับ หลุยส์ ฟาน ฮาล ได้นะ มันยากเพราะวิธีการทำงานของเขา จากนั้นก็เป็น มูรินโญ่ แต่การปรับตัวของสตาฟฟ์ทุกคนและทีมอคาเดมี่นี่สิ… ระยะห่างระหว่างอคาเดมี่และทีมชุดใหญ่ และทีมชุดใหญ่กับผู้จัดการทีม โดยเฉพาะในยุคของ มูรินโญ่ คือมันกว้างมาก ๆ
“คือมันเหมือนพวกเขาไม่มีตัวตนเลยละ การมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับ เซอร์ อเล็กซ์ มา 26 ปี และจากนั้นเกือบจะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปอยู่ใกล้ทีมชุดใหญ่ มันเหมือนการหย่าร้างระหว่างทีมชุดใหญ่และทีมอคาเดมี่เลย
“เขา [เฟอร์กูสัน] ก็ยังคงมีส่วนร่วมในบางแนวทางนะ คุณได้เห็นเขาเข้ามานั่งชมเกม ซึ่งโดยธรรมชาติมันก็จะนำความกดดันมาให้กับผู้จัดการทีมคนใดก็ตามที่เข้ามาทำงาน
“แต่หากคุณอยากจะคุมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คุณจำเป็นต้องทำให้ได้ด้วยแนวทางของคุณ แล้วก็ต้องเป็นคนตัดสินใจ”