แม้จะใช้ชื่อว่า Shock Wave 2 และได้เฮียหลิวเต๋อหัวกับผู้กำกับ Herman Yau อีกทั้งดาราหน้าเดิมบางส่วนกลับมาร่วมงานกันก็ตาม แต่เนื้อเรื่องในภาคนี้กับภาคแรกไม่ได้เกี่ยวข้องกันครับ เรียกว่าคนละตัวละครคนละเรื่องกันเลย
ภาคนี้เฮียหลิวมารับบท พานเฉิงฟง เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ระเบิดผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น แต่แล้ววันหนึ่งกลับมีหลักฐานบ่งชี้ว่าเขาคือผู้อยู่เบื้องหลังการวางระเบิดที่ทำให้มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตมากมาย และพอดีว่าตอนนั้นเขาความจำเสื่อมด้วยครับ เลยทำให้เขาต้องหาคำตอบว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
จริงๆ พล็อตมันมีความซับซ้อนกว่านี้ครับ แต่ผมขอเล่าเรื่องไว้ประมาณนี้แล้วกัน ให้ท่านไปรับชมกันเอาเองน่าจะดีกว่า เพราะส่วนหนึ่งของความสนุกมันก็อยู่ตรงที่ความลึกลับซับซ้อนของเรื่องราวนี่แหละ
ในขณะที่ภาคแรกจะเป็นหนังแนวแอ็กชันกู้ระเบิดผสมด้วยวิกฤติจับตัวประกัน มาภาคนี้ก็ยังคงเกี่ยวกับการกู้ระเบิดอยู่ครับ แต่พล็อตจะย้ายมาเน้นเรื่องการไล่ล่าและไขปมปริศนาว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรกับตัวเอกกันแน่ ซึ่งก็จะมีผสมอารมณ์หนังทริลเลอร์ลงมาด้วย ก่อนที่จะไปบู๊ลุ้นระทึกกันอีกทีในช่วงท้าย
โดยรวมแล้วผมชอบภาคนี้มากกว่าภาคแรกครับ เหตุผลสำคัญเลยก็เพราะพลังการแสดงของเฮียหลิวที่ไว้ใจได้เสมอ ซึ่งในภาคนี้บทของเขามีความซับซ้อนมากขึ้น เลยได้ถ่ายทอดอารมณ์หลายระดับ ก็ต้องยอมรับเลยครับว่าเฮียแกนี่สุดยอดเสมอจริงๆ เล่นได้ดีมาก โดยเฉพาะฉากที่จู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมานี่มันสื่ออารมณ์ได้ยอดจริงๆ
แล้วยังไม่พอครับ ภาคนี้ยังได้เฮียหลิวชิงหวินมาแจมในบท ต่งจัวเหวิน นักกู้ระเบิดเพื่อนซี้ของเฉิงฟง รายนี้นี่ก็ระดับเทพไม่แพ้กันครับ แสดงทีไรได้ใจทุกรอบ ทั้งสีหน้าแววตาและการแสดงออกนี่สามารถจับใจคนดูได้ทุกครั้งไป และการที่ 2 เฮียได้มาเจอกันแบบนี้ก็ยิ่งทำให้หนังมีพลังมากขึ้นครับ แต่ต้องบอกก่อนนะครับว่า 2 เฮียไม่ได้ถึงกับตีคู่กันตลอดทั้งเรื่อง ออกแนวเจอกันเป็นพักๆ มากกว่า แต่แค่นี้ก็โอเคมากแล้วครับ
ในแง่การแสดงถือว่ายอดครับ จัดเป็นของเด็ดของหนังเลย ในขณะที่ตัวบทนั้น ถ้าว่ากันที่โครงเรื่องจริงๆ ผมว่าน่าสนใจครับ มีรายละเอียด มีความซับซ้อนทั้งในเชิงเนื้อหาและมิติตัวละคร โดยเฉพาะตัวเอกอย่างพานเฉิงฟงนี่จริงๆ น่าสนใจมาก เพียงแต่การเล่าเรื่องอาจยังไม่สุดในบางส่วนครับ
ถ้าให้จำกัดความก็คือ หนังเล่าเรื่องต่างๆ ให้คนดูรู้และเห็นแบบคร่าวๆ ครับ ความสนุกก็เลยออกมาในระดับคร่าวๆ คือจะยังไม่สุด ยังไม่ถึงเครื่องแบบเต็มๆ (ถ้าหนังเล่าให้สุดและลึกมากพอล่ะก็ บทของเฮียหลิวเต๋อหัวนี่จะเป็นอะไรที่สุดยอดยิ่งขึ้นครับ)
ส่วนเหตุการณ์ในภาคนี้ก็ถือว่าใหญ่ครับ ระดับระเบิดฮ่องกงกันเลย ฉากกู้ระเบิดแต่ละรอบก็มีเรื่องให้ลุ้นทุกรอบ พร้อมทั้งสอดแทรกเรื่องสะเทือนใจลงไปอีก (ผมชอบฉากที่ต่งจัวเหวินกู้ระเบิดแบบพร้อมแลกชีวิตตอนกลางเรื่องมากๆ ครับ ทำได้กดดันและลุ้นจริงๆ) อะไรเหล่านี้ทำให้หนังน่าติดตามไปตลอดครับ อาจมีช่วงเรื่อยๆ บ้าง ช้าๆ บ้าง แต่ก็ไม่มากครับ ถือว่าหนังมีอะไรให้เราตามดูไปเรื่อยๆ ตลอด 2 ชั่วโมงทีเดียว
อีกสิ่งที่ยอดเยี่ยมคือเพลงครับ เพลงประกอบที่เปิดใน End Credits ของหนังซึ่งก็คือเพลง Believe Me ที่เฮียหลิวร้องคู่กับ Ni Ni นางเอกของเรื่อง เพลงเพราะมากครับ ได้อารมณ์เหมาะแก่การปิดเรื่องจริงๆ
สรุปว่าภาคนี้จัดว่าสนุกและดูเพลินครับ การแสดงคือของดี ส่วนเนื้อเรื่องก็เข้มข้น เพียงแต่อาจจะเล่าเรื่องยังไม่สุดอย่างที่บอกไป ซึ่งก็พอเข้าใจได้ครับเพราะรายละเอียดมันเยอะ แต่เท่าที่เป็นนี่ผมว่าก็โอเคแล้วล่ะ มีมันส์ มีลุ้น มีไล่ล่าเร้าระทึกครบเครื่อง เพียงแต่อาจจะยังไม่ถึงเครื่องในบางส่วนเท่านั้นเอง แต่อย่างน้อยฉากไล่ล่า ฉากกู้ระเบิด และฉากลุ้นตอนท้ายๆ ก็ถือว่าน่าพอใจสำหรับหนังแนวนี้ครับ
สองดาวเกือบครึ่งครับ
(6.5/10)
====== ขอสปอยล์หน่อยนะครับ ======
เพื่อให้ครบในสิ่งที่อยากจะบอกเล่าและบันทึกไว้
==========================
จริงๆ ผมชอบเรื่องของพานเฉิงฟง ตัวเอกของเรื่องมากๆ ครับ คาแรคเตอร์พี่เขามีความซับซ้อนดี จากนักกู้ระเบิดมือดีที่ทำงานเยี่ยมเสมอ ต้องมาเปลี่ยนไปเพราะเคราะห์กรรมในชีวิต เริ่มจากความพิการทางกายต่อด้วยการตัดสินใจจากองค์กรที่เขาทำงานอยู่ (ว่าเขาไม่ควรทำงานในภาคสนามอีก) จนส่งผลให้เขาเลือกเดินทางไปอีกเส้นหนึ่งโดยสิ้นเชิงในเวลาต่อมา
มันคือชีวิตที่บัดซบของคนๆ หนึ่งครับ คือดูแล้วถ้าจะทำความเข้าใจในประเด็นต่างๆ ก็จะได้ประเด็นชวนคิดหลายอย่าง ผมชอบที่หนังเน้นย้ำความพยายามและทุ่มเทในการฝึกฝนร่างกายของเฉิงฟง หลังจากเขาพิการนี่เขาไม่ได้นอนเฉยๆ เขาพยายามอย่างมาก ฟิตแล้วซ้อมอีกเพื่อให้ร่างกายพร้อมที่สุดในการกลับไปทำงาน จนผมเข้าใจเลยว่าเขาจะผิดหวังแค่ไหนเมื่อหน่วยของเขาปฏิเสธที่จะให้เขากลับไปลงภาคสนาม
แต่ถ้าถามว่าเข้าใจหน่วยไหม ก็เข้าใจอยู่น่ะครับ มันคือการตัดสินใจแบบเซฟๆ คิดตามตรรกะง่ายๆ ว่าบุคลากรรายใดที่ร่างกายไม่พร้อมหรือไม่เข้าเกณฑ์ ก็ไม่สามารถทำงานภาคสนามได้
มันคือมุมที่ต่างกันครับ เฉิงฟงก็มองมุมหนึ่ง เพราะเขาอยู่กับตัวเองตลอด เขารู้ดีว่าตัวเองทุ่มเทไปแค่ไหน มันไม่ใช่เรื่องผิดเลยที่เขาจะมองว่าตัวเองควรได้ลงภาคสนามอีกครั้ง ในขณะที่หน่วยหรือองค์กรก็ไม่ได้มารับรู้ในความทุ่มเทนั้น จึงตัดสินใจไปตามตรรกะหลักการง่ายๆ ว่าถ้าร่างกายไม่ครบ ก็ไม่ต้องลงสนาม ซึ่งถ้าถามว่าผิดไหม จริงๆ ก็ไม่ผิดน่ะ มันคือการพิจารณาแบบองค์รวม
ดูแล้วก็เห็นใจพระเอกครับ แล้วก็เข้าใจหน่วยด้วย จริงๆ ประเด็นเหล่านี้หากเล่าดีๆ นี่มันจะสะท้อนความซับซ้อนของมิติมนุษย์และสังคมได้อย่างน่าสนใจทีเดียว แต่ก็เข้าใจน่ะครับว่าหนังมีเรื่องให้เล่าเยอะ รายละเอียดเยอะ เลยอาจจะเล่าได้ไม่ครบ – ถึงบอกน่ะครับว่าเท่าที่หนังเป็นนี่ก็โอเคแล้วล่ะ