เรื่องย่อ: ซีรีส์ไซไฟตลกร้ายเสียดสีสังคมกลับมาอีกครั้ง เพื่อชวนคิดถึงปรากฏการณ์ความคลั่งไคล้ของผู้คนต่อบริการสตรีมมิง ไปจนถึงเรื่องเล่าโบราณถึงความชั่วร้ายที่กลับมาปรากฏกายในยุคสมัยใหม่ แน่นอนว่าเสียดสีทั้งทีต่อให้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างเน็ตฟลิกซ์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
‘Black Mirror’ สร้างความโดดเด่นขึ้นมาในฐานะซีรีส์ธีมไซไฟสยองขวัญที่เจือความตลกร้ายและการเสียดสีสังคมสมัยใหม่ไปพร้อมกัน หลายครั้งเป็นการเล่าเอามัน หลายครั้งทิ้งก้อนคำถามไว้ในหัวแบบคาหลายวันสลัดไม่หลุด มันมีความเป็นทั้งปรัชญาเข้ม ๆ สุขุมบาดลึก และความฉูดฉาดยียวนแบบงานคอมิกที่น่าสนใจ
การกลับมาในซีซันที่ 6 บอกในตัวเองดีอยู่แล้วว่ามันประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมขนาดไหน และหลังจากพักช่วงแสนยาวนานนับจากซีซัน 5 ตั้งแต่ปี 2019 ก็ต้องใช้เวลาบ่มเพาะเนื้อหาใหม่ ๆ กว่า 4 ปี ถึงได้มีซีซันใหม่ออกมา ทั้งนี้เพราะผู้สร้างสรรค์ซีรีส์อย่าง ชาร์ลี บรูกเกอร์ (Charlie Brooker) เองก็มองว่าช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกมีมวลอารมณ์ที่ตึงเครียดและตื่นตระหนกเกินไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีซีรีส์ของเขามาเพิ่มความรู้สึกไม่ดีไปอีก
แต่ผลพลอยได้ก็คือบรูกเกอร์ไประบายความคันต่อปัญหาสังคมโลกจนเกิดเป็นหนังเน็ตฟลิกซ์สุดกวนอย่าง ‘Death to 2020’ และ ‘Death to 2021’ ที่เอาเรื่องเครียดมาทำฮา และคงเก็บมวลตะกอนความคิดตลกร้ายแบบหนักหัวที่กลั่นเข้มข้นมาหลายปีเพื่อเอามาใช้กับจำนวน 5 ตอนใน ‘Black Mirror ซีซัน 6’ ซึ่งทำให้มันเป็นอีกซีซันที่มันมีความตลกที่ยิ้มไม่ออกและชวนคิดเรื่องยาก ๆ แบบที่เราโหยหามานานพอดี
รอบนี้บรูกเกอร์เรียงลำดับจากเรื่องหนัก ๆ ไปขึ้นเข้มสุดในตอนที่ 3 และค่อย ๆ ผ่อนเครื่องคูลดาวน์ลงมาจนจบตอนที่ 5 ที่ดูตลกสุด โดยตอนแรก ‘Joan Is Awful’ เป็นเรื่องแปลกชวนตั้งคำถามเกี่ยวกับวัฒนธรรมเน็ตฟลิกซ์ ที่หากชีวิตของเรากลายเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ใครก็เข้ามาดูได้แถมถูกตีสีใส่ไข่ใหม่จนแซ่บเสียด้วย เรียกว่าวิจารณ์เจ้าของบริการอย่างเน็ตฟลิกซ์เองแบบไม่เกรงใจกันเลย ตัวหนังมีความเบาสมองเล่าชะตากรรมอลหม่านของตัวละครที่ติดกับจนมุมแล้วต้องพยายามดิ้นรนสุดชีวิตจนบางครั้งก็ดูห่ามบ้าบอได้น่าติดตาม ส่วนที่น่าสนใจคือตอนนี้แม้จะดูไม่หนัก แต่ก็ตั้งคำถามเกี่ยวกับสิทธิ์ทางกฎหมายเรื่องตัวตนของเราได้อย่างเฉียบคมทีเดียว
นอกจากนั้นตอนแรกนี้ยังทำตัวเหมือนสารบัญที่แอบจั่วหัวตอนที่เหลือในซีซันนี้ไว้เป็นอีสเตอร์เอ้กด้วย ซึ่งหนังเรื่องหนึ่งที่โผล่มาบนจอทีวีในฉากของตอนแรกก็คือ ‘Loch Henry’ ที่เป็นตอนที่ 2 ของซีซัน ว่าด้วยวัฒนธรรมของสารคดีอาชญากรรม (True Crime) ที่กำลังเป็นที่นิยม ว่าด้วยนักศึกษาคู่รักที่กลับมาบ้านเกิดในชนบทของฝ่ายชายเพื่อทำสารคดีเกี่ยวกับคดีฆาตกรต่อเนื่องที่จบชีวิตตัวเอง แม้ในเชิงของหนังเขย่าขวัญจะไม่ได้ใหม่อะไร แต่ของเด็ดของดีนั้นอยู่ที่ขมวดจบมากกว่า ที่บอกได้เพียงว่ามันเสียดลึกน้ำตาซึมได้เหมือนกัน
มาตอนที่ 3 ‘Beyond the Sea’ ที่อาจกล่าวว่าดูมีความไซไฟที่สุดแล้วในซีซันนี้ แถมท่าทีการเล่าก็ค่อนไปทางซีเรียสจริงจังเสียด้วย เกี่ยวกับนักบินอวกาศ 2 คนที่ต้องปฏิบัติการยาวนานนอกโลก แต่ก็ยังสามารถกลับมาใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวตามปกติบนโลกได้ ผ่านการส่งจิตลงมาในหุ่นยนต์จำลองเสมือนจริงที่แทนตัวพวกเขา จนกระทั่งวันหนึ่งก็เกิดจุดเปลี่ยนกับนักบินอวกาศคนหนึ่งที่ทำให้อะไร ๆ ไม่เหมือนเดิม เป็นตอนที่สายฮาร์ดน่าจะชอบพอ แถมยังมีหลายประเด็นชวนให้ถกเถียง ยิ่งฉากสุดท้ายนี่คือน่าสนใจตีความมาก
ตอนที่ 4 ‘Mazey Day’ เรื่องราวของปาปาราซซีสาวที่กำลังเผชิญช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างเงินกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เมื่อดาราสาวคนหนึ่งหลบหายไปจากหน้าสื่อหลังเกิดข่าวฉาว ทำให้มีประกาศว่าใครหาภาพของเธอมาได้จะได้ผลตอบแทนก้อนงาม เกมสงครามการล่าของพวกตากล้องหิวเงินจึงเริ่มขึ้นโดยไม่รุ้เลยว่าพวกเขาอาจไม่ใช่ผู้ล่าอยู่ก็ได้ นี่เป็นตอนที่รู้สึกถึงความไม่ลื่นไหลของการเล่าเท่าที่ควร มันใส่เส้นเรื่องดึงความสนใจนอกเส้นทางหลายที และตัวบทสรุปหักมุมใด ๆ ก็ถือว่าไม่เกินคาดเดา แต่ก็คล้ายกับตอนก่อน ๆ หน้าที่เหมือนจะธรรมดา แต่มาเด็ดมาใส่หมัดหนักเอาตอนท้ายหรือช็อตสุดท้ายของหนังเลย
ตอนที่ 5 ‘Demon 79’ จัดว่าเป็นตอนที่ดูสนุกและเบาสมองอีกรอบ แม้เนื้อหามันจะไม่เบาเลยก็ตามเพราะเล่าเรื่องหญิงอินเดียที่อพยพมาอยู่อังกฤษ และถูกเอาเปรียบถูกรังแกต่าง ๆ นานา สะท้อนภาพของปรากฏการณ์เบร็กซิต (Brexit) แต่ใช้ฉากหลังปี 1979 มาแทน แล้ววันหนึ่งเธอก็เผลอไปทำสัญญากับปีศาจที่ต้องสังเวยมนุษย์ 3 คนเพื่อป้องกันวันโลกาวินาศ หนังดูเบาลงด้วยตัวปีศาจที่มีความซื่อช่างพูดคล้ายกับยักษ์จินนี่ เป็นตัวละครกวน ๆ ที่เราสัมผัสได้รู้สึกเป็นเพื่อนเราคนหนึ่ง มันเลยเป็นอีกตอนที่รสชาติแปลกและเป็นโรแมนซ์ระหว่างปีศาจกับหญิงสาวต่างด้าวในวันล้างโลกที่ไม่เคยเจอในหนังเรื่องไหน
ในซีซันนี้ได้ดาราดังมารับเชิญเอามันอยู่หลายคนอย่าง แซลมา ฮาเย็ก (Salma Hayek) ไมเคิล ซีรา (Michael Cera) และบ้างก็มารับบทเข้มจริงจังอย่าง อารอน พอล (Aaron Paul) จอช ฮาร์ตเน็ตต์ (Josh Hartnett) และ เคต มารา (Kate Mara) เป็นต้น โดยบรูกเกอร์ยังเน้นส่งโอกาสให้ผู้กำกับสายซีรีส์โทรทัศน์มารับผิดชอบกันคนละตอนได้อย่างน่าสนใจ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นตอนที่ไม่ได้โชว์พลังผู้กำกับให้เป็นที่น่าจดจำเลยก็ตาม
โดยสรุป ‘Black Mirror ซีซัน 6’ เป็นซีรีส์ที่ดูมีธีมและการลำดับตอนที่วางแผนมาดี มีเนื้อหาแต่ละตอนที่มุ่งเป้าชัดเจนว่ากำลังพูดเรื่องอะไร และใช้กลวิธีที่ค่อนข้างคมคาย แม้ว่าจะไม่ได้เร้าอารมณ์ร่วมได้มากนักก็ตาม แต่กระนั้นก็ยังเป็นหนังสั้นที่ดูได้เพลิน ๆ ไม่ได้น่าเบื่อหรือแย่แต่อย่างใด