วาระเวลาที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้ผมเพิ่งดูปี 10 จบไปครับ ดังนั้นการเขียนของผมก็จะออกแนวระลึกชาติสักหน่อยเวลาที่เขียนถึงปีเก่าๆ แต่ก็อยากบันทึกเอาไว้ครับ ว่านี่เป็นอีกหนึ่งซีรี่ส์ที่ดูจนจบ ตามดูต่อเนื่องยาวนานมานับสิบปี (แน่นอนว่ามีสปอยล์นะครับ บอกไว้ก่อนตรงนี้เลย)
Hawaii Five-0 ผมอาจไม่ถึงกับชอบแบบสุดๆ แต่ก็อยู่ในข่ายชอบครับ สามารถดูได้เพลินๆ แก้เบื่อเแก้เหงาได้ดี หนังมาพร้อมแอ็กชันเพลินๆ แต่ละคดีก็จะสนุกมากหรือน้อยต่างกันไป แต่โดยรวมก็ถือว่าดูได้สนุก สำหรับผมแล้วจุดเด่นของซีรี่ส์นี้นอกจากเพลงเปิดที่เร้าใจและอมตะมากๆ แล้ว ก็ต้องยกให้ดาราครับที่ถือว่าคัดมาได้เหมาะมากๆ
Alex O’Loughlin เป็นสตีฟ แมคแกเร็ตได้เหมาะ ดูเป็นผู้นำ สมาร์ท และหัวไวใช้ได้, Scott Caan ในบทแดนนี่ก็เป็นคู่หูคู่ฮาที่เสริมอะไรขำๆ แสบๆ ได้แบบกำลังเหมาะ, Daniel Dae Kim ถือว่าดีมากๆ ในบทชิน โฮ เคลลี่ บางวาระก็เข้มได้ใจ บางเวลาก็ฮาได้ที่ ในแง่การแสดงนี่เขาเด่นมากๆ ครับและที่ลืมไม่ลงคือ Grace Park ในบทโคโน่ที่สวยเซ็กซี่ มีเสน่ห์น่ารักแบบสุดๆ ขณะเดียวกันเวลาพะบู๊ก็ทำได้ไม่เลว
7 ปีแรกผมถือว่าสนุกและกลมกล่อมที่สุดครับ เพราะทีมนี้เข้าขากันได้ดี แบ่งบทและความเด่นกันได้แบบพอเหมาะ และนอกจากนี้เหล่าดาราสมทบร่วมขบวนก็เสริมรสชาติอร่อยๆ ให้กับซีรี่ส์ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะ Masi Oka ในบทแม็กซ์ เบิร์กแมน หมอชันสูตรที่มาพร้อมมาดแปลกๆ ในแต่ละตอน, Taylor Wily ในบทพี่อ้วนคาเมโคน่า รายนี้มาพร้อมความฮาและความงกแบบเสมอต้นเสมอปลาย
จากนั้นช่วงปี 4 เราก็จะได้เจอกับ Jorge Garcia ในบท เจอร์รี่ ออร์เทก้า หนุ่มเนิร์ดอารมณ์ดีที่เพิ่มสีสันให้กับเรื่องราวได้อย่างน่าปรบมือ และ Chi McBride ในบทเจ้าหน้าที่ลู โกรเวอร์ ที่เปิดมาตอนแรกทำท่าว่าจะขัดแย้งกับหน่วยไฟว์โออยู่บ่อยๆ แต่ไปๆ มาๆ เขาก็กลายมาเป็นเพื่อนสุดซี้ของทีมไฟว์โอที่ร่วมสู้แบบไปไหนไปด้วย ร่วมเป็นร่วมตายแบบได้ใจ
Michelle Borth ในบท แคทเธอรีน โรลลินส์ รายนี้ก็มาเสริมความสนุกและมาสานสายใยรักกับสตีฟ, Ian Anthony Dale ในบท อดัม โนชิโมริ หนึ่งในฝ่ายเจ้าพ่อที่สุดท้ายแล้วก็มาตกร่องปล่องชิ้นกับโคโน่ แล้วปีหลังๆ ก็กลายเป็นทีมไฟว์โอในที่สุด
อย่างที่บอกครับว่า 7 ปีแรกทำออกมาได้ดี ตัวละครถือว่าเหมาะและเป็นดั่งกระดูกสันหลังให้กับซีรี่ส์ ว่ากันตรงๆ ก็คือแต่ละคดีที่เหล่าตัวเอกต้องแก้นั้นก็ไม่ถึงกับเข้มข้นหรือชวนติดตามอะไรขนาดนั้น แต่ที่มันยังดูสนุกและน่าดูอยู่น่ะก็เพราะการแสดงเวิร์กๆ ของพวกเขา ว่าง่ายๆ คือที่ผมดูนี่ไม่เชิงดูเพื่อตามคดีครับ แต่ดูเพื่อตามชีวิตของพวกเขา ดูไปหลายปีเข้าก็รู้สึกเหมือนเพื่อนที่สนิทขึ้นเรื่อยๆ เวลาเกิดเรื่องดีก็พลอยดีใจเฮไปกับเขาด้วย แต่พอเกิดเรื่องคอขาดบาดตายก็อดไม่ได้ที่จะลุ้นและเอาใจช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากภัย
ดังนั้นเมื่อถึงจุดที่ Dae Kim และ Park ตัดสินใจเดินออกจากซีรี่ส์หลังจบปีที่ 7 นั้น มันจึงส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผมไม่น้อยครับ เหตุผลที่เขาออกกันก็เพราะพวกเขาพยายามเรียกร้องค่าตัวเพิ่ม เนื่องจากค่าตัวของพวกเขาเมื่อเปรียบเทียบกับ O’Loughlin และ Caan แล้ว มันต่างกันมาก ทั้งๆ ที่จะว่าไปแล้วทั้ง Dae Kim และ Park ก็ทุ่มเททำงานร่วมปรากฎในจอไม่น้อยไปกว่า 2 คนนั้นเลย
และพอการเจรจาไม่เป็นผล พวกเขาก็เลยเดินออกจากซีรี่ส์ครับ (และ Oka ก็เดินออกไปอีกคนครับ)
นั่นทำให้ปี 8 มีการเพิ่มตัวละครใหม่เข้ามาเพื่อเติมเต็มส่วนที่หายไป อันได้แก่ Meaghan Rath ในบท ทานี่ เรย์ และ Beulah Koale ในบทจูเนียร์ เรนส์ ซึ่งผมชื่นชมในความพยายามของทั้งสองคนนี้นะครับ ดูก็รู้ว่าพวกเขาพยายามทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด แต่ก็ต้องบอกกันตรงๆ ว่า ดีกรีความน่าติดตามมันลดลง ส่วนหนึ่งก็เพราะตัวละครที่เราชื่นชอบหายไปถึง 2 คนน่ะครับ นาทีนั้นผมตระหนักเลยว่ากระดูกสันหลังของซีรี่ส์นี้อยู่ที่ตัวละคร ไม่ใช่พล็อตเรื่อง (เพราะว่ากันตรงๆ แล้ว ซีรี่ส์สืบสวนแอ็กชันแบบนี้มีให้เกลื่อนไปหมดน่ะครับ-แล้วก็อย่างที่บอกว่าแต่ละคดีมันไม่ได้แน่นหนักเข้มข้นขนาดนั้นด้วย)
สำหรับผม ปี 8 เลยออกจะดร็อปไปครับ และที่ออกจะทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีสักหน่อยก็คือการยังมีอยู่ของตัวละครอดัม โนชิโมริ จริงๆ เขาควรจะออกจากเส้นเรื่องไปพร้อมกับโคโน่นะ มันจะได้เริ่มใหม่แบบจริงๆ จังๆ และคนดูอย่างเราๆ ก็จะได้พยายามลืม 2 ตัวละครนั้นให้ได้ด้วย แต่กลายเป็นว่าอดัมยังอยู่ครับ มันเลยอดไม่ได้ที่จะคิดถึงโคโน่ แล้วทีนี้มันแน่นอนอยู่แล้วว่าโคโน่จะไม่มีวันกลับมา บทเลยเขียนออกมาในเชิงว่าโคโน่ทิ้งอดัมไปแล้ว อดัมเลยอยู่ฮาวายต่อ ซึ่งในฐานะคนที่ติดตามซีรี่ส์นี้มาตั้งแต่ต้นมันรู้สึกเลยน่ะว่า “ไม่ใช่เด็ดขาด!!!!!!!” เพราะปีก่อนๆ นี่เราจะเห็นอยู่กับตาว่าโคโน่รักอดัมแค่ไหน และเสียสละเพื่อเขามากแค่ไหน ถึงขนาดตายก็ยอม แล้วจู่ๆ โคโน่จะทิ้งอดัมไปได้ยังไง
อันนี้บอกเลยว่า Ian Anthony Dale ไม่ผิดหรอกครับ เขาแสดงได้ดีและผมรู้สึกได้ว่าเขาพยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว แต่บทมันไม่ใช่น่ะครับ มาเขียนให้โคโน่กลายเป็นใครไปก็ไม่รู้แบบนี้ ยอมรับเลยว่ารับไม่ใคร่จะได้สักเท่าไร
ปี 8 เลยไม่ใช่ปีที่ดีนักสำหรับผม พอถึงปี 9 ก็ค่อยทำใจได้มากขึ้นน่ะครับ (แม้จะยังแอบหงุดหงิดในส่วนเรื่องของอดัมอยู่ก็ตาม) แต่ปีที่ผมว่าเริ่มจะโอเคอีกครั้งคือปีที่ 10 ครับ มันเริ่มดูโอเคขึ้นพร้อมการมาของตัวละครใหม่อย่าง ควินน์ ลิว (Katrina Law) ที่มาพร้อมความฉลาดและเสน่ห์ อีกส่วนหนึ่งผมว่าคงเพราะเราเริ่มสนิทกับทานี่และจูเนียร์แล้ว มันเลยเริ่มจะโอเคมากขึ้น
แต่ก็อย่างที่ทราบครับว่าปี 10 คือปีสุดท้าย ก็เลยทำได้เพียงทำใจอำลา ทั้งๆ ที่มันเริ่มจะโอเคขึ้น แต่ขณะเดียวกันปี 10 นี่ก็มาพร้อมอะไรแปลกๆ อีกเหมือนกัน คือประมาณกลางปีน่ะมันจะมีอยู่ตอนหนึ่งที่หนังจบด้วยฉากที่จูเนียร์เหมือนจะโดนคนจับไป ตอนแรกผมก็นึกว่าตอนต่อๆ มาพวกไฟว์โอจะตามไปช่วย แต่อาจเพราะทีมงานเพิ่งรู้ว่าปี 10 จะเป็นปีสุดท้าย จู่ๆ พล็อตเลยเปลี่ยนครับ พล็อตมันกลายเป็นว่าจูเนียร์ถูกเรียกตัวไปทำงานลับ เลยหายไป 2 – 3 ตอน แล้วจู่ๆ พี่แกก็กลับมาแบบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สารภาพว่าดูแล้วก็งงเหมือนกันครับ ก็จูเนียร์โดนคนจับไปเห็นๆ น่ะ จู่ๆ ดันไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลายเป็นจูเนียร์แค่ไปทำงานและปลอดภัยกลับมาเฉยเลย ส่วนเรื่องโดนจับตัวนั่นก็ไม่มีการพูดถึงอีกเลย อันนี้ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้รู้สึกถึง “ความลวกๆ” บางประการที่เกิดขึ้น
แต่ก็ช่างเถอะครับ ทำอะไรไม่ได้แล้วนี่นะ เอาเป็นว่าเรื่องราวสรุปจบลงที่ปี 10 แต่อย่างน้อยฉากจบผมว่าก็ทำได้ดีครับ ตอนจบหนังกำหนดให้สตีฟตัดสินใจออกจากฮาวายไปใช้ชีวิตที่อื่น (หลังจากคลี่คลายปมต่างๆ ในใจเขาหมดแล้ว) อันนำมาสู่ฉากอำลาระหว่างสตีฟกับทีมไฟว์โอ ซึ่งผมชอบครับ ฉากนี้เรียกน้ำตาได้ดี เลยพอจะทำให้ลืมๆ ความเป๋ๆ ของบทที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้บ้าง
ต้องออกตัวครับว่าผมดูซีรี่ส์จบมาหลายชุด แล้วก็พบว่าตอนสรุปจบของแต่ละซีรี่ส์นั้น ไม่ใช่ทุกซีรี่ส์ที่จะจบได้ดี บางเรื่องก็จบแบบง่ายๆ บางเรื่องก็จบแบบเกือบประทับใจแต่สุดท้ายก็ไม่ประทับใจเท่าไร – แต่กับ Hawaii Five-0 แม้ตัวซีรี่ส์อาจไม่ได้สมบูรณ์นัก แต่ผมว่าตอนจบถือว่าน่าจดจำครับ ทำให้เราอินไปกับบทสรุปได้ และจบแบบ “อำลาคนดู” ได้อย่างพอเหมาะ
เมื่อถึงวาระที่ซีรี่ส์จบลง ก็แอบใจหายเหมือนกันนะครับ ผมยังจำวันแรกที่ผมเปิดซีรี่ส์นี้ดูได้ มันอาจไม่ใช่ซีรี่ส์ที่ผมประทับใจมากมาย แต่เพลงเปิดไตเติ้ลของซีรี่ส์มันยังคงเร้าใจและน่าจดจำเสมอ และของดีอย่างมากๆ อีกอย่างของซีรี่ส์นี้คือภาพวิวทิวทัศน์บรรยากาศของฮาวายครับ อันนี้ยกนิ้วให้เลยว่าสวยมาก ธรรมชาติงดงามจับตา ซึ่งภาพทิวทัศน์นี่แหละครับที่เป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญที่ทำให้ซีรี่ส์นี้น่าดู น่าติดตาม (ผมเป็นคนชอบภาพธรรมชาติน่ะครับ เจอสวยๆ แบบนี้เลยยกใจให้เลย) และมันเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์สำคัญสำหรับความเป็น Hawaii Five-0
ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าของดีของซีรีส์นี้จะเป็นในเรื่องขององค์ประกอบต่างๆ ที่ถูกนำมาผสมนำเสนอแบบลงตัว ส่วนเนื้อเรื่องนั้นไม่ได้พิเศษอะไรครับ ผมว่าพวก CSI หรือ NCIS จะเข้าท่าและน่าจดจำกว่าหากพูดถึงเรื่องคดีและความเข้มข้นน่ะนะครับ
มานั่งนึกๆ นี่ผมว่าปี 10 เป็นปีที่ให้ความรู้สึกแบบตำซั่วสำหรับผมนะ คือมันมีจุดที่โอเคมากๆ ผสมกับจุดที่เป๋ๆ หลงๆ ซึ่งจุดที่เป๋ๆ หลงๆ ก็อย่างที่บอกไปน่ะครับว่าบทอาจมั่วๆ ไปบ้าง แต่จุดที่ผมชอบสำหรับปี 10 นี่คือบทบางช่วงบางตอนมันมีการปูพื้นสำหรับการสรุปจบ เช่น การเชิญตัวละครเก่าๆ บางคนแวะกลับมาทักทายคนดูเป็นการส่งท้าย หรือการให้ตัวละครในเรื่องพูดเปรยๆ ถึงชีวิตบั้นปลาย อย่างตอนที่ลูพาทานี่กับจูเนียร์ไปเลี้ยงข้าวหลังจากพวกเขาช่วยขนของ (ตอนที่ 10 ของปี 10) เป็นต้น
ลูเปรยขึ้นมาถึงชีวิตคนเป็นพ่อ ที่ตอนนี้ลูกๆ โตหมดแล้ว ลูกสาวย้ายออกจากบ้านไปได้ 3 ปีแล้ว ส่วนลูกชายก็กำลังจะย้ายออกจากบ้านไปอีกคน “คุณเคยได้ยินเรื่องบ้านที่ว่างเปล่าไหม?” ลูเอ่ยขึ้น “ผมรู้มันมีข้อดี แต่มันก็มีข้อเสียด้วย และ… ข้อเสียหนึ่งก็คือไม่มีใครคุยด้วย เรื่องคุณจะรับมือกับความ… รู้สึกว่าไม่เป็นที่ต้องการอีกแล้วได้ยังไง เข้าใจมั้ย”
ทานี่เอ่ยตอบไปว่า “ลู… วิลกับซาแมนธาต้องการคุณเสมอนะ”
ลูตอบว่า “ใช่… แต่มันไม่เหมือนเดิม… รู้ไหมตลอดหลายปีผมทำทุกอย่างเพื่อลูกๆ ตั้งแต่เชฟถึงสารถี เป็นตู้เอทีเอ็มและอื่นๆ อีกมากมาย… ผมเป็นคนปกป้องคนแรกและคนสุดท้ายของพวกแกในโลกที่แสนโหดร้ายมานานกว่า 20 ปี และตอนนี้โลกนี้มีอิสระที่จะโยนอะไรใส่พวกแกก็ได้ และผมทำอะไรไม่ได้แล้ว”
เมื่อคุยถึงจุดหนึ่งลูก็ตัดสินใจว่าจะเก็บข้าวของที่ลูกๆ ทิ้งเอาไว้ “มันรู้สึกดีที่ได้รู้ว่าผมยังสามารถปกป้องบางอย่างในชีวิตพวกแกได้ แม้จะเป็นเพียงความทรงจำในวัยเด็กของพวกแก และมันดีกว่าไม่มีอะไรเลยตั้งเยอะ”
นี่เป็นช่วงที่ผมชอบมากช่วงหนึ่งครับ มันเป็นคำพูดที่โดนใจคนเป็นพ่อ (อย่างผม) นะ ผมเข้าใจลูเลยว่าจากเดิมที่ลูกกับเขาอยู่ร่วมบ้านกัน มีลูกมาขอคำปรึกษา กินข้าวด้วยกันเช้าเย็น ฯลฯ แต่ตอนนี้ลูกเขากำลังจะจากอ้อมอกเขาไปแล้ว บ้านที่เคยครึกครื้นก็จะเงียบเหงา ใจของเขากำลังหายครับ ซึ่งฉากนี้สื่อความหมายได้ดีนะ ผมเชื่อว่าพ่อแม่คนไหนที่มีประสบการณ์ทำนองนี้ ก็คงมีอินกันบ้าง
ผมเองก็อินครับ จริงที่นาทีนี้ลูกผมยังไม่โต แต่อีกไม่กี่ปีเขาก็จะโต และผมก็คงได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบที่ลูเจอไม่ช้าก็เร็ว… ขนาดยังไม่เจอผมยังหวิวเลยครับ ตอนที่ลูพูดออกมาน่ะ
หรือตอนที่ 19 ของปี 10 ที่สตีฟกับแดนนี่ขี่ม้าชมธรรมชาติฮาวายด้วยกันหลังสู้กับผู้ร้ายเสร็จ พูดเรื่องพระอาทิตย์ตก ฉากนั้นผมว่ามีความหมายนะ โดยเฉพาะตอนที่สตีฟพูดกับแดนนี่ว่า “สักวันนายจะต้องคิดถึงเรื่องนี้” มันเป็นฉากที่บอกใบ้กลายๆ ว่าสตีฟกำลังจะจากฮาวายไป และคนดูอย่างเราๆ ก็กำลังจะต้องโบกมืออำลาให้กับซีรี่ส์นี้เช่นกัน
ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกราครับ มีแต่จะเลิกช้าหรือเลิกเร็วเท่านั้นเอง
สำหรับ Hawaii Five-0 แล้ว ซีรี่ส์นี้ดูได้เพลินๆ ครับ มันสนุกเพราะได้ทีมดาราเวิร์กๆ ได้บรรยากาศงามๆ ของฮาวายเป็นเพลังสำคัญ แม้มันจะไม่ใช่ซีรี่ส์ที่สุดยอด แต่หากท่านจะดูแก้เหงา ดูเพลินๆ ผมว่ามันตอบโจทย์อยู่ครับ
ถึงตอนนี้ผมก็อยากจะขอบคุณนะ ขอบคุณซีรี่ส์นี้ที่ทำออกมาเป็นเพื่อนเราถึง 10 ปี ชีวิตผมก็ผ่านอะไรหลายอย่างตลอดทศวรรษที่ผ่านมานี้… ผมว่าในแง่หนึ่งซีรี่ส์เป็นเหมือนเพื่อนเราจริงๆ นะครับ จะต่างจากหนังที่ยาวแค่สองสามชั่วโมง ดูจบก็คือจบ อย่างมากก็เอามาดูซ้ำ (ยกเว้นหนังที่มีภาคต่อเยอะๆ หรือหนังจักรวาลอย่างพวก Marvel) ในขณะที่ซีรี่ส์แม้ตอนหนึ่งจะแค่เกือบชั่วโมง แต่มันมีหลายตอน ทำออกมาเรื่อยๆ ให้เราได้รับรู้ชีวิตของเหล่าตัวละครไปเรื่อยๆ เหมือนเราดำเนินชีวิตไป ตัวละครก็มีเรื่องราวของเขาไป ยิ่งถ้าเราดูนานๆ เกิน 5 ปีขึ้นไปเนี่ย มันจะผูกพันอยู่ลึกๆ ครับ เหมือนเป็นเพื่อนแม้จะไม่เคยพูดจาอะไรกันก็เถอะ แต่มันจะผูกพัน เพราะเจอหน้าและได้รับรู้เรื่องราวอยู่บ่อยๆ
และนั่นก็คือสิ่งที่ผมรู้สึกต่อซีรี่ส์นี้ รวมถึงซีรี่ส์อีกหลายๆ เรื่องที่ดูมานานๆ… แล้วพอวันต้องอำลามันก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึง แม้ตอนดูอาจไม่ได้ถึงกับชอบสุดๆ แต่พอถึงจุดอำลามันก็อดไม่ได้ครับที่จะใจหวิวๆ
สรุปตรงนี้อีกทีครับ ว่าซีรี่ส์นี้อาจไม่ได้สนุกสุดๆ แต่มีดีที่ตัวละคร… ตัวละครที่ทำให้เรารู้สึกผูกพันประหนึ่งเป็นเพื่อนกัน…
แต่เมื่อตอนจบของซีรี่ส์มาถึงนั้น… ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปครับ… ทำได้เพียงโบกมืออำลา และย้อนรำลึกขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนด้วยกันมาตั้งหลายปี
สองดาวครึ่งกว่าๆ ครับ
(7.5/10)