The Hunger Games: Mockingjay – Part 1 (Francis Lawrence / USA / 2014) ถึงมันจะไม่ได้แปลกตาเพลินใจด้วยแฟชั่นหลุดโลกเว่อร์วังของชาวแคปิตอล ตื่นตาตกใจวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์อย่างสัตว์ประหลาด ไฟป่า คลื่นซัด หมอกพิษฯลฯ เหมือนสองภาคที่ผ่านมา ไม่ได้ลุ้นตัวเกร็งหวาดกลัวเสียวสันหลังไปกับการประลองและสะเทือนใจกับการสูญเสียตัวละครที่ช่วยเรียกน้ำตาอย่าง ริว ซินนา หรือแม็กส์ แต่แผนเกมการเมืองในหนังก็ยังดูสนุกให้ได้ตื่นเต้นน่าติดตามทดแทนฉากแอคชั่นพุ่งพล่านที่น้อยลงกว่าสองภาคที่ผ่านมา ลดลงในระดับที่หากนับด้วยนิ้วมือเพียงข้างเดียวจาก 5 นิ้วแล้วมันถูกเก็บมาใช้แค่นิ้วเล็กๆ สั้นๆ อย่างนิ้วโป้งกับนิ้วก้อยเท่านั้น แต่ส่วนตัวแล้วหนังยังสนุกมากทีเดียวถึงแม้ว่ามันจะยังมีร่องมีรอยให้พอกระเทาะเปลือกให้เห็นเนื้อในที่ลักไก่ใส่ไม่ครบเครื่องอยู่พอสมควร แคตนิสยังคงเป็นผู้หญิงสติแตกที่เริ่มแรกไม่เห็นความสำคัญของการเมืองภายนอกนอกจากคนรัก ครอบครัวและคนใกล้ชิดเหมือนๆ เดิมที่เคยเป็นมา แต่คนที่ไม่มีกะจิตกะใจฝักใฝ่การเมืองอย่างแคตนิสก็ต้องตกเป็นเบี้ยหนึ่งในเกมการเมืองกลายมาเป็นหัวหลักผู้ผลักดันปลุกระดมให้ชาวพาเน็มมีความเชื่อมั่นและกำลังใจในการต่อสู้กับแคปิตอล ถึงเรื่องความสัมพันธ์ความรู้สึกส่วนตัวมักมีผลกับบ้านเมืองเสมอ… ซึ่งบางทีก็ทำให้นึกถึงท่านผู้นำหลายๆ ฝ่ายในบ้านเราอยู่เหมือนกัน…คิดแล้วก็ตลกดี ตัวละครสมทบที่น่าสนใจมากที่สุดสำหรับเราในภาคนี้คือทีมถ่ายทำแผนโปรโมตที่หนีมาจากแคปิตอลมาร่วมทัพก่อกบฎ รวมถึง Effie ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นชาวแคปิตอลที่ต้องร่วมลงเรือลำเดียวกันกับเหล่ากบฏ Mockingjay ขอนอกเรื่องกับใบหน้าโล้นเตียนเหมือนแปลงนาที่เพิ่งเก็บเกี่ยวของเอฟฟี่มันทำให้เรานึกถึงผู้หญิงชาวแคปิตอลคนอื่นๆ ในสภาพเดียวกันที่ปราศจากเครื่องประทินผิวกาย ว่าถ้ามาอยู่รวมกับเยอะๆ จะมีสภาพเป็นยังไง พอลองสมมติว่ากบฏปฏิวัติสำเร็จแล้วห้ามชาวแคปิตอลแต้งหน้าทาปากจะเป็นยังไง มันคงจะเป็นภาพก่อน-หลังที่ตลกดี แล้วก็ลุคผู้กำกับหญิงเท่ๆ ของ Cressida(Natalie Dormer) ที่ทรงผมยาวข้างไถข้างกับอุปกรณ์ถ่ายทำที่เราเฝ้าสังเกตการใช้งานของมันตลอดมันทำให้เราเพ้อออกนอกหนังไปว่าอนาคตคนทำหนังจะเป็นยังไงนะ และมันน่าสนใจตรงที่ว่าในโลกความเป็นจริงแล้วยกตัวอย่างเช่นสยามเมืองยิ้มแห่งนี้จะมีผู้คนที่เหมือนกับคนพวกนี้แฝงตัวอยู่สักเท่าไหร่กัน หรือไม่มีเหลืออยู่เลย เสียดายที่ยังมีจุดที่ไม่ได้ให้น้ำหนักมากพอในส่วนของชาวพาเน็มเขตอื่นๆ ที่ลุกฮือกันร่วมก่อกบฏ มันขาดเกินรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่มันมีผลต่ออารมณ์ร่วมซึ่งมันกลายเป็นฉากที่ไม่ได้ก่อความสะเทือนใจเท่าไหร่ทั้งๆ ที่มันสามารถทำให้เราสามารถรู้สึกร่วมได้มากกว่านั้นกับการลุกฮือได้ไม่ยาก มีเหรอที่แคปิตอลจะสะเพร่าขนาดปล่อยให้สัญญาณภาพหนังของแคตนิสที่กลุ่มกบฎใช้เพื่อเรียกให้ประชาชนลุกฮือขึ้นมาแข็งข้อกับตัวเอง ถึงแม้บีทีจะบล็อกสัญญาณไม่ให้ส่งไปถึงแคปิตอล แต่ผู้พิทักษ์ที่เป็นทหารของแคปิตอลก็อยู่ประจำอยู่แทบทุกเขตคอยตรวจตราอยู่ไม่ใช่เหรอก็น่าจะเล็ดลอดให้รู้เรื่องได้อยู่? มันดูปลอดภัยมากขนาดนั้นเลยเหรอที่พากันมานั่งคุยกันร้องเพลงชมนกชมไม้อยู่ริมทะเลสาบ กูนี่่เสียวหัวแทนตลอดว่าจะโดนซุ่มยิงหวาดระแวงแทนยิ่งกว่าชาวพาเน็ม…ชิลกันจริงๆ เลย มาตรการรักษาความปลอลดภัยหรือเฝ้าระวังสังเกตการณ์ของแคปิตอลโคตรจะหละหลวมทั้งๆ ที่มีกำลังพลไม่น้อยแล้วก็เทคโนโลยีก้าวล้ำมากมายขนาดสร้างสนามพลังสร้างเกมการประลองได้ขนาดนั้น มีทั้งสัตว์กลายพันธุ์ ไฟป่า คลื่นยักษ์ หมอกพิษ ตัวต่อฯลฯ ซึ่งตัวต่อตัดแต่งพันธุกรรมที่อยู่ในเกมประลองภาคแรกก็เป็นตัวยืนยันว่าทุกอย่างในเกมมีความเป็นไปได้ที่แคปิตอลจะมีสามารถสร้างขึ้นจริงได้ไม่เว้นแต่ภายในสนามพลังการประลองเพราะในภาคนี้คนของแคปิตอลก็ใช้พิษตัวต่อเล่นงานทรมานพีต้าจนบ้าคลั่งเสียสติ แล้วทำไมระบบป้องกันแหล่งพลังงานสำคัญอย่างเขื่อนไฟฟ้าถึงมีแค่ทหารไม่กี่คนที่ถือแค่ปืนรอยิงกลุ่มกบฎเป็นร้อยที่บุกเข้ามาแทบจะตัวเปล่า(ทำไมพวกมึงไม่พกอาวุธกันบ้าง..สละเลือดเป็นชาติพลีกันขนาดนั้น!!)สละชีวิตวิ่งฝ่าเข้ามาวางระเบิด นอกจากนี้ก็ยังมีหลายๆ จุดที่รู้สึกว่าประธานาธิบดีสโนว์และชาวแคปิตอลน่าจะฉลาดมากกว่านั้น เมื่อแคปิตอลแบ่งแยกชัดเจนว่าแต่ละเขตนั้นมีหน้าที่ในการผลิตทรัพยากรอะไร ซึ่งก็เข้าใจว่าตามแต่ละที่ก็ต้องเป็นที่ๆ เหมาะในการผลิตทรัพยากรนั้น ซึ่งถ้าฆ่าล้างบางหมดทั้งเขตไม่เลือกหน้าขนาดนั้นมันก็ต้องส่งผลกระทบต่อประชากรแคปิตอลในช่วงเวลานั้นสิ เพราะทุกๆ เขตจะต้องส่งข้าวส่งน้ำส่งเครื่องมือวัตถุดิบลำเลียงสู่แคปิตอลเพื่อหล่อเลี้ยง แต่พอระเบิดเขต 12 ที่มีหน้าที่ทำเหมืองแร่มันก็ต้องขาดพลังงานขาดเงินป่าววะ หรือถ้าระเบิดเขต 4 ลูกหลานแคปิตอลก็จะเอาปลาบำรุงสมองที่ไหนกินฮาๆ แต่ก็พอลดทอนได้ว่าเป็นการเชือดไก่แบบจริงจังให้ลิงดู อีกอย่างมันก็อยู่ในสภาวะสงครามน่ะนะ ส่วนหนึ่งก็เป็นความเขลาของแคปิตอลซึ่งเราก็แอบหวังว่าจะมันเป็นเพียงแค่อารมณ์ดีเดือดเลือดพล่านของประธาธิบดีสโนว์ที่สุดท้ายแล้วก็ต้องมีไม้ตายเลวๆ ส่งลูกหลานแคปิตอลที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่มาเป็นแรงงานหรือกระทั่งเป็นเกราะกำบังอาวุธเป็นโล่เปลือกจัญไรให้แน่นหนาขึ้น ใช้ซ่อนตัวเองและพรรคพวกยืดระยะรอดชีวิตด้วยการหดหัวอยู่ใต้กระดอง อย่างหนึ่งที่นึกถึงคือโลกภายนอกพาเน็มนั้นเป็นยังไง ทำไมไม่มีการติดต่อข่าวคราวช่วยเหลือหรือเสือกกะบาลจากคนภายนอกเลยทั้งๆ ที่แคปิตอลก่อสงครามฆ่าผู้คนเรือนหมื่นขนาดนี้ หรือว่าพาเน็มอยู่ในโลกที่มีแต่พาเน็มทั้งโลกกันแน่ รู้มาว่าพาเน็มคือสหรัฐอเมริกาหลังจากที่ล่มสลาย แสดงว่ามันก็ต้องมีประเทศที่เถลิงอำนาจยิ่งใหญ่กว่าอย่างงั้นสิจะเป็นจีน รัสเซีย เกาหลีเหนือฟีตเจอริ่งไทยก็ว่ากันไป หรือว่าประเทศอื่นล่มสลายไปทั้งหมดเราก็เลยไม่ได้เห็นคนคอเคเชียนเอเชียในหนังเรื่องนี้อย่างนั้นเหรอ? ส่วนเส้นเรื่องรักนี่ สงสารเกลจัง ‘กะแล้วว่าเธอจะทำแบบนี้…เธอสนใจฉันก็เฉพาะเวลาที่ฉันเจ็บปวด’ T^T ภาคนี้อยู่ทีมเกลแต่เชียร์พีต้าเพราะมันสูงเท่าๆ เรา แล้วจะได้ไปรองรับอารมณ์เวิ่นของแคตนิสฮ่าๆๆๆๆ…ถึงตอนท้ายจะกลายเป็นเหมือนคนแคระร่างกะหร่องก็ตาม…เปิดมาช็อตจบนี่ถ้าไม่ได้ดูมาก่อนแค่พีต้าคนเดียวก็คงนึกว่ามันรวมเรื่องกับฮ็อบบิท… – ชอบ Phillip Seymour Hoffman กับ Julianne Moore ในหนังเรื่องนี้จัง นานๆ ทีจะได้เห็นสองคนนี้ในหนังฟอร์มใหญ่บิ๊กบอสบ็อกอ๊อฟฟิศแบบนี้ แล้วโผล่มาทีไรนี่มีพลังงานออร่าเยอะมากๆ รอดูป้ามัวร์ใน Maps to the Stars กับ Seventh Son – โจแฮนนามานิดเดียวเอง ช็อตเดียวเลยมั้ง อะโด่…