MAN VS BEE

รีวิว ซีรีส์ MAN VS BEE

รีวิว ซีรีส์ MAN VS BEE ซีรีส์ตลกบน NETFLIX ที่นอกจากจะได้นักแสดงมิสเตอร์บีนมารับบทนำยังนั่งแท่นเป็นโปรดิวเซอร์เองด้วย 

แม้ว่าในช่วงหลังมานี้จะไม่มีซีรีส์ตลกอย่างมิสเตอร์บีนออกมาให้เราได้รับชมเหมือนสมัยก่อนอีกต่อไปแล้ว มีก็แต่การ์ตูนที่ทำออกมาได้สนุกสนานไม่แพ้กัน แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักกับโรแวน แอตคินสัน เจ้าของบทบาทดั้งเดิมของมิสเตอร์บีนอย่างแน่นอน แม้ว่าภายใต้บทบาทมิสเตอร์บีนเขาจะดูเป็นคนป้ำๆ เป๋อๆ ไม่เต็มบาท แต่ความเป็นจริงแล้วเขาเป็นถึงทันตแพทย์แถมยังมีความสนิทสนมกันดีกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์อีกด้วย นับว่าเป็นคนที่มีโปรไฟล์ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว 

เขาเคยผ่านการแสดงมามากมายทั้งซีรีส์หรือแม้แต่ภาพยนตร์ ล่าสุดเจ้าตัวได้เปิดบทบาทใหม่อย่างการเป็นโปรดิวเซอร์ที่รับหน้าที่ในการครีเอทการแสดงเองทั้งหมดในซีรีส์ตลกบน NETFLIX เรื่อง MAN VS BEE ซีรีส์ที่เล่าถึงเรื่องราวของคุณพ่อสุดวุ่นวายที่พยายามต่อสู้กับผึ้งและดูแลคฤหาสน์หรูจนกลายเป็นเรื่องวุ่นวายตามมา

มันเป็นซีรีส์เบาสมองที่เหมาะสำหรับคนอยากจะหาอะไรสบายๆ รับชมเพื่อผ่อนคลาย เพราะมีเพียงแค่ 9 ตอนจบแถมแต่ละตอนนั้นก็ยังมีความยาวเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น ยกเว้นตอนแรกที่ยาวหน่อยเพียงแค่ 20 นาทีเพื่อปูเรื่องราวให้เราได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้านหลังนี้และตัวละครแต่ละตัวนั้นเป็นใคร 

ขึ้นชื่อว่าเป็นผลงานของโรแวน แอดคินสันมั่นใจได้เลยว่ามันออกมาสนุกสนานและตลกอย่างแน่นอน ดังนั้นหากใครที่ชื่นชอบมิสเตอร์บีนหรืออยากจะหาอะไรเบาสมองรับชมเพื่อผ่อนคลายในวันหยุดหรือแม้แต่รับชมในระยะเวลาสั้นๆ ช่วงพักเที่ยงก็สามารถรับชมซีรีส์เรื่องนี้ได้เลย

หนังมิสเตอร์บีน ล่าสุด

เรื่องราวในซีรีส์เรื่อง MAN VS BEE

MAN VS BEE เป็นซีรีส์ที่ไม่ได้มีแก่นเรื่องอะไรมากไปกว่าการที่คุณพ่อป้ำๆ เป๋อๆ คนหนึ่งที่มีชื่อว่าเทรเวอร์ บิงลีย์พยายามหางานทำหลังจากที่ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักทีเพราะเป็นคนไม่เอาไหน แต่ในที่สุดเขาก็หางานได้สำเร็จ เป็นงานเฝ้าบ้านครั้งแรกโดยบ้านที่เขารับผิดชอบนั้นเป็นคฤหาสน์หรูของผัวเมียมหาเศรษฐีไฮโซคู่หนึ่งที่ชื่นชอบและสะสมงานศิลปะราคาแพงเอาไว้เป็นจำนวนมาก ไม่เพียงเท่านั้นภายในบ้านยังมีหมาสุดน่ารักอีก 1 ตัวอีกด้วย

ด้วยความเป็นคฤหาสน์ของมหาเศรษฐีดังนั้นทุกอย่างภายในบ้านจึงถูกควบคุมเอาไว้ด้วยระบบอัจฉริยะ ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปได้ดีและสุขสบายจนกระทั่งมีผึ้งจอมป่วนตัวหนึ่งได้หลุดเข้ามาในบ้านและมันก็ก่อเหตุวุ่นวายตามมามากมาย  เทรเวอร์ผู้ดูแลรักษาบ้านจึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อตามล่าผึ้งตัวดังกล่าวให้สำเร็จก่อนที่มันจะไปทำลายบ้านและงานศิลปะจนป่นปี้ 

ยิ่งประกอบเข้ากับนิสัยที่ไม่สามารถปล่อยผ่านแม้แต่เรื่องเล็กเรื่องน้อยได้ของเจ้าตัวยิ่งก่อให้เกิดเป็นหายนะครั้งใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะให้เราได้รับชม สุดท้ายแล้วเขาจะสามารถต่อสู้กับผึ้งและอัปเปหิมันออกจากบ้านได้สำเร็จหรือไม่ หรือสุดท้ายเขาต้องหาข้อแก้ตัวกับเจ้าของบ้านเราต้องไปติดตามรับชมกันต่อในซีรีส์ 

ความรู้สึกหลังรับชมซีรีส์เรื่อง MAN VS BEE

MAN VS BEE เป็นซีรีส์ที่ต้องยอมรับเลยว่าบ้าบอเท่าที่สุดที่เคยจะมีมา แกนเรื่องฟังดูงี่เง่าและไม่น่าจะมีใครที่ทำแบบนั้นอย่างแน่นอน แต่เพราะนักแสดงคือโรแวน แอตคินสันผู้สวมบทบาทมิสเตอร์บีนมาตลอดทั้งชีวิต การแสดงของเขาที่นำเสนอชายคนหนึ่งที่ไม่เอาไหนต้องต่อสู้กับพืชเพื่อรักษาบ้านเอาไว้ให้สำเร็จเรื่องจึงกลายเป็นความสนุกสนานขึ้นมาได้อย่างน่าเหลือเชื่ออย่างนั้น 

และด้วยแกนหลักของเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่แล้วดังนั้นเราอยากจะขอให้ทุกคนขอสมองก่อนรับชมซีรีส์เรื่องนี้ออกไปก่อนไม่เช่นนั้นคุณอาจจะต้องรู้สึกหงุดหงิดหรือรำคาญใจกับพฤติกรรมของตัวละครคุณพ่อสุดไม่เอาไหนคนนี้อย่างแน่นอน เพราะในช่วงแรกเราอาจจะพอเข้าใจได้บ้างถึงความงี่เง่าและไร้สาระของตัวละครเกี่ยวกับวิธีการไล่ล่าผึ้งที่ยังดูสมเหตุสมผลดี แต่หลังจากนั้นเรื่องราวก็จะออกทะเลไปไกลขยายขอบเขตการต่อสู้มากขึ้นจนก่อให้เกิดหายนะตามมามากมาย 

แม้ว่าจะมีความพยายามใส่ความรู้สึกผิดให้กับตัวละครที่มาสำนึกได้ทีหลังว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปนั้นเกินกว่าเหตุ แต่อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่รับชมอะไรแบบจริงจังขอบอกเลยว่ายังไงคุณก็หงุดหงิดอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นหากคุณต้องการรับชมซีรีส์เรื่องนี้ให้สนุกขอแนะนำให้ดูแบบปล่อยผ่านไปเลย สนุกกับหายนะที่เกิดขึ้นแล้วคุณจะได้รับความบันเทิงอย่างถึงขีดสุดแน่นอน 

จบเรื่องมนุษย์ไปแล้วมาต่อกันที่ผึ้งที่มีบทบาทไม่น้อยไปกว่าตัวละครหลักเลยแม้แต่น้อย ในซีรีส์เรื่องนี้ใช้งานคอมพิวเตอร์กราฟิกสร้างพึ่งขึ้นมาทั้งหมดซึ่งถือว่าสามารถทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว เราจะได้เห็นมันอย่างละเอียดชัดเจนไปจนถึงขน เรียกได้ว่าเป็นงานภาพที่จริงจังเกินเบอร์ซีรีส์ตลกไปมาก เวลารับชมไปแล้วเราก็อดคิดไม่ได้ว่าตอนนี้ผึ้งตัวนั้นกำลังคิดอะไรอยู่และมันจะหาทางเอาชีวิตรอดกับการเล่นใหญ่ของคนดูแลบ้านได้อย่างไร บางครั้งมันก็ทำให้เราอดเห็นใจพวกมันไม่ได้เพราะพวกมันก็แค่ทำตามสัญชาตญาณแต่มนุษย์ดันไปไล่ล่าพวกมันเสียอย่างนั้น ดังนั้นบอกได้เลยว่ารับชมไปสักพักคุณจะรู้สึกเห็นใจและเริ่มเอาใจช่วยผึ้งจนทำเอามนุษย์กลายเป็นตัวร้ายไปเลยทีเดียว 

โดยรวมแล้วซีรีส์เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นซีรีส์ที่เราอยากจะให้ทุกคนได้ลองรับชมดูเพียงแต่ว่าอาจจะมีข้อแม้ในการรับชมสักเล็กน้อยนั่นก็คือการต้องไม่คิดอะไรมากมาย เพราะถึงอย่างไรมันก็ยังเต็มไปด้วยข้อดีมากมายไม่ว่าการที่เราจะได้เห็นโรแวน แอตคินสันได้กลับมาแสดงบทบาทตลกอีกครั้งหลังหายไปนาน เรื่องราวที่สุดแสนจะบ้าบอตั้งแต่ต้น มุกตลกที่สามารถสร้างเสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี แถมยังใส่ประเด็นดราม่าของผึ้งเข้ามาได้อย่างกลมกล่อมอีกด้วย 

ตัวอย่างซีรีส์ MAN VS BEE

รีวิวซีรีส์ MAN VS BEE บางส่วนจาก beartai

ซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ตอนละ 20 นาที แบบดูยาว ๆ 9 ตอนจบ ที่สามารถดูเพลิน ๆ ไหล ๆ แป๊บเดียวก็จบแล้ว จุดสนใจของเรื่องนี้อยู่ตรงเป็นผลงานที่ห่างหายหน้าจอไปนานของ โรแวน แอตคินสัน (Rowan Atkinson) ที่โด่งดังจากการสวมบท มิสเตอร์บีน (Mr. Bean) ตัวละครตลกท่าทางเล่นหน้าตายอดนิยมจนเป็นไอคอนในระดับโลก ซึ่งผลงานหลัง ๆ ที่เราพอจำได้คือต้องย้อนไปถึงหนังเรื่อง ‘Johnny English Strikes Again’ (2018) กันเลยทีเดียว

และสำหรับโปรเจกต์หวนคืนครั้งนี้เขาจึงเข้าคู่กับมือเขียนบท วิล เดวีส์ (Will Davies) ซึ่งเคยเขียนบทให้แอตคินสันได้หลุดพ้นจากการเป็นคุณบีนมาเป็นสายลับจอห์นนีถึง 3 ภาคมาแล้ว โดยมอบหมายให้ผู้กำกับ เดวิด เคอร์ (David Kerr) ที่ร่วมงานกันใน ‘Johnny English Strikes Again’ มาทำหน้าที่คุมการเล่าเรื่อง

เหมือนว่าโจทย์ของทีมสร้างคือต้องใช้จุดเด่นในการเล่นตลกแบบแอตคินสัน แต่ต้องสลัดภาพของมิสเตอร์บีนให้ได้ด้วย บทสรุปจึงออกมาที่การสร้างตัวละครใหม่ที่ชื่อ เทรเวอร์ ชายซื่อ ๆ ที่ล้มเหลวในการเป็นผู้นำครอบครัว แต่ได้โอกาสในการกอบกู้ศรัทธาของภรรยาและลูกสาวคืนมา ด้วยการหางานใหม่เป็นผู้รับดูแลเฝ้าบ้านหรูที่ต้องทำหน้าที่ครั้งแรกให้ลุล่วงให้ได้ มันจึงมีสิ่งที่ต่างจากบุคลิกของพวกขี้แพ้แบบไม่มีแต้มต่อที่สร้างความมั่นใจแปลก ๆ อย่างในมิสเตอร์บีนที่ดวงแข็งทำอะไรพลาดก็กลายเป็นดี หรือสายลับจอห์นนีที่มีอุปกรณ์สายลับไฮเทคกับการพกดวงมาแบบสุด ๆ และทำให้เทรเวอร์ยอดมนุษย์ดวงซวยนี้เป็นตัวละครใหม่ ๆ ที่แอตคินสันจะได้ลองนำเสนอดู

และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือการจะต้องดึงความโดดเด่นในการใช้ท่าทางเล่าเรื่องแทนคำพูดของแอตคินสันออกมา ก็ทำให้ทีมสร้างคิดสถานการณ์ประหลาดที่คนกับสัตว์ (ในที่นี้คือผึ้งกับน้องหมา) ต้องมาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เมื่อไม่มีคนอื่นให้ต้องสนทนาด้วยมากนัก พลังการแสดงของแอตคินสันก็จะเฉิดฉายได้เต็ม ๆ ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่ทีมสร้างคิดมาได้ฉลาดทีเดียว ที่จะช่วยหนีข้อครหาว่าย่ำเท้าอยู่ในบทบาทเดิม ๆ ของแอตคินสันเอง

จุดที่ดีคือแม้จะมีพลอตที่ไม่ซับซ้อนอะไรมากแต่หนังก็สร้างความสงสัยให้คนดูอยากติดตามด้วย โดยเปิดเรื่องจากฉากในศาลที่ทำให้เห็นว่าเทรเวอร์กำลังเผชิญชะตากรรมลำบากในฐานะจำเลย จนชวนให้สงสัยว่าเขาไปทำอะไรร้ายแรงมา แล้วจึงค่อย ๆ ย้อนหลังเรื่องราวทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้ดูมีลีลาการเล่าเรื่องมากขึ้น

ซีรีส์แนวนี้จะสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ตรงที่จะประเคนสถานการณ์ใส่ตัวละครได้มากขนาดไหน ถี่ขนาดไหน และดูยุ่งยากขนาดไหน ยิ่งวอดวายมากเท่าใด เรื่องราวก็ยิ่งสนุกขึ้นเท่านั้น และทีมสร้างก็ทำในจุดนี้ได้ดีช่วงเวลาแค่ไม่กี่วันในเรื่อง ตัวละครต้องเจอสารพัดความวายป่วงแบบไม่เว้นว่างกันเลยทีเดียว

ทว่าจุดที่น่าเสียดายคือถึงปริมาณจะมาก แต่คุณภาพของมุกหรือสถานการณ์ที่ใส่เข้ามาก็ต้องดีด้วยถึงจะสมบูรณ์แบบ ต้องยอมรับว่าแม้มุกส่วนใหญ่จะเล่นกับข้าวของไฮเทคที่อยู่ในบ้านหรูเป็นหลัก เพื่อให้เทรเวอร์ที่เป็นคนยุคบูมเมอร์ที่ไม่ถนัดเทคโนโลยีแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ว่าสุดท้ายเนื้อในของมุกก็ยังเป็นมุกแบบคลาสสิกเดิม ๆ ประมาณแมวกัดกับหนูเช่นใน ‘Tom and Jerry’ ซึ่งแค่เปิดแต่ละมุกมาก็พอเดาผลลัพธ์กันได้แล้ว มันเลยขาดความรู้สึกเกินคาดซึ่งเป็นสูตรสำเร็จหนึ่งในศิลปะการสร้างอารมณ์ขัน