พูดก็พูดครับ เวลาเขียนถึงหนังสูตรสำเร็จโรแมนติกแบบนี้แล้วบางทีก็ไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะสิ่งที่เขียนก็คงเป็นอะไรเดิมๆ แบบที่ผมเขียนเกี่ยวกับหนังสไตล์นี้มาแล้วไม่รู้กี่รอบ
แต่กระนั้นผมก็ยังขยันหาหนังแนวนี้มาดูอยู่เรื่อยๆ ครับ ดูแล้วมันผ่อนคลายสบายใจดี บางเรื่องก็เติมพลังดีๆ ให้กับเราด้วยความ Feel Good หรือไม่ก็มีทิวทัศน์สวยๆ มาให้ชมเป็นอาหารตาอีก
คงอย่างที่เขาว่าน่ะครับ อะไรมีความสุข ก็ทำไปเถอะ ^_^
สำหรับ Operation Christmas Drop ก็เป็นหนังรักช่วงคริสต์มาสลงสูตรอีกเช่นกัน เรื่องของเอริก้า (Kat Graham) ผู้ช่วยท่าน ส.ส. แบรดฟอร์ด (Virginia Madsen) ที่ต้องเดินทางไปยังฐานทัพอากาศบนเกาะแห่งหนึ่ง จุดประสงค์เพื่อตรวจสอบว่าฐานทัพแห่งนั้นมีการใช้งบสิ้นเปลืองไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือไม่
แล้วเธอก็ได้พบกับแอนดรูว์ (Alexander Ludwig) นาวาอากาศหนุ่มที่พาเธอไปรู้จักกับผู้คนในฐานทัพและชาวบ้านบนเกาะแห่งนั้น อันทำให้เธอได้เข้าใจว่าที่แห่งนี้มีสิ่งสวยงามที่ควรค่าแก่การรักษา แม้ว่าคนอื่นๆ (ที่ไม่ได้อยู่ที่นั่น) จะเห็นว่ามันไม่สำคัญ แล้วก็มองว่าเป็นเรื่องเปลืองงบก็ตาม
หนังเขียนบทโดย Gregg Rossen และ Brian Sawyer คู่หูที่ร่วมกันเขียนบทหนังรักและหนังคริสต์มาสของ Hallmark มาแล้วร่วมๆ 20 เรื่องครับ ส่วนผู้กำกับ Martin Wood ก็ผ่านงานมาแล้วทั้งซีรี่ส์และหนังอีกหลายเรื่องของ Hallmark (อาทิซีรี่ส์ When Calls the Heart และ Aurora Teagarden Mysteries อีก 8 ตอน) ผลที่ได้ในหนังเรื่องนี้เลยถือว่าพอเหมาะและกลมกล่อมกำลังดีครับ
เคมีของพระ-นางในเรื่องก็ถือว่าเหมาะกันพอตัวครับ ตอนแรกทั้งคู่ก็ต้องมีการเขม่นกันตามสูตรของหนังแนวนี้ ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างจะเริ่มเห็นข้อดีของกันและกัน จนหันมาปิ๊งกันในที่สุด ซึ่งในมุมโรแมนติกนั้นถือว่าน่าพอใจในระดับหนึ่งครับ
ต่อมาที่ถือว่าน่าพอใจสำหรับผมคือทิวทัศน์ดีๆ ที่หนังนำมาฝากครับ โดยเรื่องนี้ไปถ่ายทำกันที่เกาะกวม เราเลยจะได้เห็นทิวทัศน์ริมทะเลสวยๆ กับป่าเขาเขียวขจี โดย Michael C. Blundell รับหน้าที่เป็นผู้กำกับภาพครับ รายนี้ก็เคยผ่านงานซีรี่ส์อย่าง Stargate: Atlantis และ The 100 มาแล้ว กับเรื่องนี้ก็ถือว่าจับภาพมุมสวยๆ และบรรยากาศดีๆ ของเกาะกวมมาขึ้นจอได้ดีพอสมควร
ส่วนบรรยากาศความเป็นคริสต์มาสนั้นก็ถือว่าพอมีครับ มีให้สัมผัสช่วงต้นๆ ตอนเอริก้าอยู่ในเมือง แล้วก็ช่วงท้ายๆ ตอนมีการจัดงานเลี้ยงกัน ซึ่งเหตุผลหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีบรรยากาศวันคริสต์มาสอุดมสมบูรณ์ก็คงเพื่อจะสื่อให้เราเห็นน่ะครับว่าบนเกาะแบบนี้ ไม่ได้จะหาวัตถุดิบหรือเครื่องประดัมธีมวันคริสต์มาสมาได้ง่ายๆ ขนาดต้นสนยังต้องขนขึ้นเครื่องส่งมาตั้งหลายต่อ ซึ่งก็สะท้อนความจริงแง่หนึ่งให้เราเห็นครับ ว่าสำหรับพื้นที่บางแห่งแล้ว การจะจัดงานคริสต์มาสให้ครบเครื่องน่ะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไม่เหมือนคนอยู่ในเมืองที่จะสามารถหาของมาจัดงานได้เพียงแค่เดินเข้าห้างหรือเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต
และขณะเดียวกันหนังก็สะท้อนหัวใจแห่งวันคริสต์มาสออกมาได้แบบน่ารักครับ เพราะหัวใจจริงๆ ของเทศกาลนี้คือการแบ่งปัน การห่วงใยและเอื้ออาทรต่อกัน อีกทั้งการส่งต่อความสุขและความหวังให้ถึงคนที่อยู่ห่างไกล – เหมือนจะบอกเรากลายๆ น่ะครับ ว่างานคริสต์มาสจริงๆ ไม่ต้องจัดเต็มเรื่องของประดับหรอก แต่จัดเต็มเรื่องน้ำจิตน้ำใจ จัดเต็มเรื่องการให้และอาทร นั่นแหละดีที่สุด
ถือเป็นหนังที่ดูได้แบบเพลินๆ เดินเรื่องแบบง่ายๆ ตอนท้ายก็มีเรื่องดีๆ ให้เรา Feel Good แต่ขณะเดียวกันหนังก็ไม่ถึงกับยอดเยี่ยมหรือมีความโดดเด่นอะไรมากมาย เรียกว่าเป็นหนังดูยามว่างเวลาต้องการความสบายอกสบายใจครับ
สองดาวกว่าครับ
(6.5/10)