Prey (2022)

Untitled08217

Prey ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของหนังที่เดินเรื่องแบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ลูกเล่นไม่ไฮโซ คอนเซปต์ไม่ใหญ่โต ไม่ทะเยอทะยานสร้างจักรวาลหรือภาคต่อ แต่ทำออกมาได้สนุกดูเพลิน ชวนติดตามไปจนจบได้

ยอมรับว่าตอนดูช่วงต้นๆ ก็มีแอบเงกไปเหมือนกันครับ เพราะจังหวะหนังค่อนข้างเรื่อยๆ กินลมชมวิวอยู่หน่อยๆ แต่ครั้นพอดูไปเรื่อยๆ แล้วมันดึงดูดให้ดูต่อ คือเรารู้อยู่แล้วล่ะว่านารู (Amber Midthunder) ตัวเอกของเรื่องกำลังจะเผชิญหน้ากับอะไร ที่เหลือก็แค่ว่าเธอจะเอาตัวรอดจากความร้ายกาจของมันได้ไหม ใครจะอยู่ใครจะตายบ้าง และเรื่องจะลงเอยอย่างไร

หนังถือว่าเรียบง่ายอย่างมากครับ ไม่มีอะไรหวือหวา แต่เป็นความเรียบง่ายที่ชวนดู (ขอเพียงทนช่วงต้นที่เรียบเรื่อยสักหน่อย) หนังค่อยๆ พาเราไปผูกพันกับนารูทีละนิด ได้รู้ถึงไหวพริบปฏิภาณ การฝึกหัดพลิกแพลงฝีมือตน ความช่างสังเกต และการมองสิ่งรอบตัวที่ต่างออกไปจากคนเผ่าเดียวกัน ทั้งหมดนี้ค่อยๆ ทำให้เรารู้จักตัวตนของเธอมากขึ้นทีละน้อย ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เราแอบเอาใจช่วยเธอมากขึ้นด้วยเช่นกัน

ถ้าว่ากันถึงความมันส์แล้ว หนังอาจไม่ได้มันส์อะไรมากครับ ระเบิดระเบ้ออะไรก็ไม่เยอะ อาวุธยุทโธปกรณ์ค่อนข้างพื้นๆ เพราะเหตุในเรื่องเกิดเมื่อ 300 ปีก่อน อาวุธฝ่ายมนุษย์อย่างมากก็แค่ปืน ส่วนอาวุธฝ่ายพรีเดเตอร์ก็ยังไม่ไฮเทคเท่าที่เราเห็นในภาคอื่นๆ ดังนั้นถ้าใครอยากเห็นแอ็กชันมันส์ๆ หรือ CG ละลานตา ก็คงต้องปรับความคาดหวังครับ

หนังคงมีทั้งคนที่ชอบและเฉยครับ แต่เราจะเป็นกลุ่มไหนนั้นก็คงต้องลองดูหนังก่อนถึงจะได้คำตอบ ส่วนผมนั้นจัดอยู่ในกลุ่มค่อนข้างชอบครับ หนังง่ายๆ แต่ก็ดูได้เรื่อยๆ และจริงๆ แล้วยิ่งตัวเอกของเรามีอาวุธพื้นๆ มากเท่าไร ก็ยิ่งอดลุ้นไม่ได้ว่าแล้วเธอจะเอาชนะมันได้ยังไง – และอันที่จริงยิ่งอาวุธเธอน้อยเท่าไร เบสิคเท่าไร ก็ต้องงัดสมองออกมาสู้มากเท่านั้น จุดนี้แหละที่ทำให้หนังมีอะไรให้ลุ้นอยู่

Untitled08218

ผมก็ชื่นชมในความกล้าของคนทำนะ เพราะสเกลและสไตล์ของหนังมันเป็นอะไรที่ Back to Basic มากๆ ในขณะที่ภาคก่อนๆ ยิ่งทำยิ่งพยายามหาอะไรใหม่ๆ ใส่ลงไป พาเราไปยังขอบเขตใหม่ๆ แต่เรื่องนี้พาเราไปผจญภัยยังยุคโบราณเลย แต่ผู้กำกับ Dan Trachtenberg (10 Cloverfield Lane) ก็ถือว่าเอาอยู่ครับ สามารถคุมหนังให้ออกมาได้กลิ่นแอ็กชันผสมไซไฟ แม้รสจะไม่จัดจ้าน ลีลาจะไม่หวือหวา แต่ก็ถือว่าไม่เลว

การจัดลำดับความชอบของหนังชุดนี้สำหรับผมแล้ว แน่นอนว่าผมยังคงชอบภาคแรกมากที่สุด เพราะหนังครบเครื่องทั้งความมันส์ ความลุ้น และความสยอง ส่วนภาค 2, ภาค Predators หรือ Alien vs. Predator ภาคแรก แม้จะดรอปลงมาในบางจุด แต่ก็ถือว่ายังตอบโจทย์ความมันส์และความบันเทิงได้อยู่ ถ้าว่ากันโดยส่วนตัวแล้ว 3 ภาคนี้ผมตีคะแนนให้พอๆ กัน เพราะมีดีมีด้อยกันคนละส่วน แต่ถ้ามมองแบบถัวๆ ก็ถือว่าบันเทิงไม่หนีกันสักเท่าไร ส่วนภาค The Predator ก็ดูได้เพลินๆ แบบไม่คิดมาก และ Aliens vs Predator – Requiem ผมค่อนข้างออกแนวเฉยครับ

ส่วนภาคนี้ถือว่ามีรสชาติเฉพาะตัวครับ ความมันส์อาจไม่เยอะ ความเร้าใจอาจไม่กระหน่ำ ลูกเล่นอาจไม่เน้น เป็นการถ่ายทอดเกมระหว่างผู้ล่ากับผู้ถูกล่าแบบ Back to Basic ที่จัดว่าสนุกตามแนวทางของมัน แต่ขณะเดียวกันก็เอาไปเทียบกับภาคอื่นๆ ได้ยากเหมือนกันครับ เอาเป็นว่าขอสรุปว่าสนุกไปอีกแบบ แต่ก็ยังไม่เด็ดเท่าที่ภาคแรกทำไว้

ถ้าจะมีอะไรที่ติดอยู่ในใจก็คงหนีไม้พ้นฉากที่นารูตกไปในโคลนดูดน่ะครับ หลังจากเธอขึ้นมาได้เราจะเห็นว่าเธอเปื้อนโคลนทั้งตัว ชุดที่ใส่นี่ไม่ต้องพูดถึงล่ะ มันเลอะไปถึงไหนๆ แล้ว แต่ตัดฉากมาอีกทีเสื้อผ้าดูเหมือนใหม่เลย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอพกไปอีกชุดหรือยังไง หรือถ้าเป็นชุดเก่าก็อยากรู้ว่าใช้อะไรซัก เสื้อมันถึงกลับมากระจ่างใสไร้โคลนและแห้งไวซะขนาดนั้น (555)

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)