Scrooged (1988) คบผีดี ผีพาดี

Untitled07198

ทุกวันคริสต์มาสผมจะต้องเอา A Christmas Carol สักเวอร์ชั่นหนึ่งมาดูครับ เพราะมันเข้ากับบรรยากาศดี และสาระสำคัญของเรื่องราวมันช่วยกระตุ้นเตือนเราถึงบางสิ่งเกี่ยวกับชีวิต ให้ย้อนรำลึกถึงสิ่งที่เราเคยทำ สิ่งที่เราทำอยู่ และสิ่งที่จะเกิดขึนต่อไปในอนาคต (อันเป็นผลจากการกระทำของเราในปัจจุบัน)

Scrooged เรื่องนี้ก็คือเวอร์ชั่นอัพเดตของ A Christmas Carol ครับ มีการปรับเรื่องราวให้เกิดในโลกยุคใหม่ ตัวเอกคือแฟรงค์ ครอส (Bill Murray) ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์จอมเห็นแก่ตัว ไม่สนใจที่จะรักหรือมีน้ำใจให้ใคร วันๆ มุ่งหมายแต่ผลกำไรและความสำเร็จส่วนตนเท่านั้น

แล้วในค่ำคืนหนึ่งเขาก็ได้รับการเตือนจากผีเจ้านายเก่า บอกให้เขารีบเปลี่ยนตัวเองก่อนชีวิตจะแย่ไปกว่านี้ และบอกว่าเดี๋ยวจะมีผีจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคตมามอบบทเรียนให้กับเขา

หนังดูเพลินๆ ฮาๆ มาพร้อมสาระและการแสดงลื่นๆ ของ Bill Murray ที่มาพร้อมบทกวนโอ๊ย-เห็นแก่ตัว-อย่ายุ่งกะอั๊ว บทแบบนี้พี่ท่านแสดงได้ดีเสมอ และแน่นอนว่าพอถึงฉากที่ต้องทำหน้านิ่ง หน้าอึ้ง หรือหน้าซึ้งยามเจอเรื่องให้สะเทือนใจ เขาก็ทำได้ดีตามสไตล์อีกเช่นกัน และที่ลืมไม่ได้คือช่วงท้ายที่พี่ท่านร่ายยาวเกี่ยวกับ “ปาฏิหาริย์วันคริสต์มาสที่ทุกคนสามารถทำให้เกิดได้ในทุกวัน” ก็เป็นอะไรที่เจ๋งดีครับ ซึ่ง Murray ยอมบอกปัดบทนำในหนัง Rain Man, Big และ Cocktail เพื่อมารับบทในเรื่องนี้โดยเฉพาะครับ

ตัวหนังกำกับโดย Richard Donner ที่โด่งดังมาจาก The Omen, Superman และหนังชุด Lethal Weapon มาเรื่องนี้ก็ถือว่าแหวกจากแนวประจำของเขาเหมือนกัน ซึ่งผลที่ได้ก็นับว่าดูสนุกครับ ตัวหนังตอนออกฉายก็ทำเงินไปพอตัว ได้ไป $60 ล้าน จากทุนประมาณ $32 ล้าน จะว่าไปทุนก็ถือว่าเยอะอยู่ แต่ถ้าดูจากงานสร้าง งานฉาก (โดยเฉพาะฉากผีจากอนาคต) ก็ทำให้พอเข้าใจครับว่าทุนในการเนรมิตมันก็ต้องมีพอสมควร

ดาราในเรื่องล้วนมีส่วนทำให้หนังเรื่องนี้น่าจดจำ ตั้งแต่ Karen Allen ในบทคนรักเก่าของแฟรงค์ที่หมั่นทำงานเพื่อสังคม, Bobcat Goldthwait ในบทพนักงานที่พูดจาตรงไปตรงมา จนโดนแฟรงค์เนรเทศออกจากงานในวันคริสต์มาส, David Johansen มาเป็นผีจากอดีต, Carol Kane มาเป็นผีจากปัจจุบัน (ที่ออกแนวซาดิสม์นิดๆ) และ Alfre Woodard ในบทผู้ช่วยแสนดีของแฟรงค์ที่แม้จะไม่ได้มั่งมีร่ำรวย แต่ครอบครัวของเธอก็มีความอบอุ่นเท่าที่จะทำได้

ดนตรีของ Danny Elfman ก็มาพร้อมลีลาประจำตัวของเขา เอามาผสมเข้ากับอารมณ์ของวันคริสต์มาส ก็จะได้มาเป็นท่วงทำนองแบบคริสต์มาสที่แอบยียวนในบางที และแอบหลอนในบางช่วงน่ะครับ

Untitled07199

แต่ขณะเดียวกันก็มีข่าวว่าความสัมพันธ์ระหว่าง Murray กับ Donner ในกองถ่ายไม่ใคร่จะดีนักครับ ซึ่ง Murray เคยโดนถามว่าเขามีเรื่องกับ Donner จริงไหม? Murray ตอบว่า “ก็มีเรื่องกันแค่นิดหน่อย แค่ทุกนาทีของทุกวันเท่านั้นเอง” และ Murray ยังพูดถึง Donner ว่า Donner ชอบสั่งอะไรด้วยเสียงดังๆ ดังมาก ดังมาย “สงสัยเขาจะหูหนวก” – มีเรื่องกันจริงหรือไม่ก็คงต้องลองพิจารณากันดูน่ะนะครับ

เรื่องนั้นจริงไหมไม่รู้ แต่เรื่องนี้จริงครับ Donner มีวีรกรรมที่น่าจดจำในกองถ่ายอยู่อันหนึ่งครับ เรื่องของเรืองคือหนังเรื่องนี้เริ่มต้นถ่ายทำในเดือนธันวาคมปี 1987 ทีนี้ Donner ก็เลยพยายามบอกกับทางค่ายว่า ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ต้องขอให้ทีมงานได้หยุดในวันคริสต์มาสนะ เพื่อที่ทุกคนจะได้กลับไปอยู่กับครอบครัว

แต่ปรากฏว่าทางเบื้องบนปฏิเสธครับ พูดง่ายๆ คือวันคริสต์มาสพวกเขาก็ยังต้องถ่ายทำตามตาราง จนในที่สุด Donner ใช้ไม้ตายที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือตอนเย็นของวันที่ 24 ธันวาคม Donner ประกาศไล่ทุกคนในกองถ่าย ทั้งนักแสดงและทีมงานทุกคนออกจากงานทั้งหมด แล้วก็สั่งยุติการถ่ายทำลงทันที

จากนั้นพอถึงวันที่ 26 ธันวาคม เขาก็ประกาศจ้างทีมงานทุกคนกลับมาใหม่ แล้วการถ่ายทำก็เริ่มต่อไป… แน่นอนว่าช่วงที่ทุกคนโดนไล่ออกนั้น พวกเขาก็ได้ใช้เวลากับครอบครัวในวันคริสต์มาสกันอย่างมีความสุขครับ – ตอนได้ยินครั้งแรกผมนี่คารวะเลยครับ เพราะ Donner น่ารักจริงๆ

Untitled07200

ถ้าถามว่าหนังให้อะไร? ก็ตอบได้ว่า หนังชี้ชวนให้เราทบทวนตนเองในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตครับ

ชี้ชวนให้ทบทวนตนเองในอดีต เราเคยมีความฝันเมื่อวัยเยาว์หรือไม่? มาถึงในวันนี้ ความฝันนั้นมีความเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงไร? ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อะไรที่เราอยากบอกกับตัวเองที่สุด? ถ้าตัวเราเองในอดีตมาเห็นเราในตอนนี้ คิดว่าตัวเราในอดีตจะอยากบอกเราว่าอะไร? ฯลฯ และหากทำได้ อย่าลืมย้อนไปโอบกอดตัวเองในวันที่เราเจ็บปวด เสียใจ เพราะต่อให้เราแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เราก็ยังสามารถโอบกอด ปลอบโยนตัวเราเมื่อวันวานได้ และเราสามารถใช้วันวานมาสอนอะไรบางอย่างให้กับตัวเราในวันนี้ได้

ชี้ชวนให้ทบทวนตัวเอง ณ ปัจจุบันขณะ ว่าเราใช้เวลาในชีวิตไปกับอะไรบ้าง สมดุลย์ในชีวิตของเราเป็นยังไง เราบ้างานไปไหม – เราให้เวลาครอบครัวหรือคนรอบตัวไหม – เราเห็นแก่ตัวบ่อยๆ จนติดเป็นนิสัยไหม – เราชอบทำตัวแย่ๆ แล้วหาเหตุผลมาแก้ตัวเป็นประจำไหม – เราชอบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลจนไม่สนใครๆ ไหม ฯลฯ

และชี้ชวนให้ลองมองไปยังอนาคต ลองจินตนาการว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในทุกวันนี้ จะนำพาเราไปสู่อะไร? เราจะพอใจกับอนาคตที่เรากำลังก่อร่างสร้างอยู่หรือไม่? หรือถ้ามันยังไม่ดี มันยังไม่ใช่แล้ว เราจะสามารถทำอะไรเพื่อเปลี่ยนอนาคตของเราได้บ้าง? ฯลฯ

อีกเรื่องหนึ่งคือปาฏิหาริย์ครับ ที่ไม่จำเป็นว่าปาฏิหาริย์จะต้องหมายถึงสิ่งมหัศจรรย์ แต่มันหมายถึงสิ่งดีๆ ที่เราทำให้กันได้ คือน้ำใจที่เราหยิบยื่นให้กันได้ คือมิตรไมตรีที่เราสามารถส่งต่อให้กันได้

… ไม่รู้สิครับ ในความคิดผมแล้วปาฏิหาริย์เป็นได้กระทั่งสิ่งสามัญที่เราทำในชีวิตประจำวัน เอาแค่เราทุกคนขับรถกันด้วยสติ เมาอย่าขับ ตอนขับก็อย่าประมาท หากเราทำได้แล้วส่งผลให้บนท้องถนนลดอุบัติเหตุได้ แค่นี้ก็เป็นปาฏิหาริย์ชั้นยอดแล้ว มันไม่ใช่เรื่องดีเหรอครับที่เราจะมีส่วนทำให้พ่อของบางคน แม่ของบางคน หรือลูกของบางคนได้กลับไปหาครอบครัวของเขาด้วยความปลอดภัยน่ะ ผมว่าเพียงเท่านี้ก็ปาฏิหาริย์แล้วครับ และที่สำคัญคือเราสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ทุกวัน ไม่ต้องรอวันตรุษ วันสาร์ท วันเทศกาล หรือวันพระ สร้างมันทุกวันนั่นแหละครับ ให้เรื่องดีๆ เกิดขึ้นบ่อยๆ ในสังคม… ผมว่านี่แหละคือปาฏิหาริย์ที่โลกนี้กำลังรอคอยอยู่ครับ

ทั้งหมดนี่คือส่วนหนึ่งของสิ่งที่จะผุดขึ้นในหัวของผมเสมอ หลังดู Christmas Carol ไม่ว่าจะเวอร์ชั่นใดก็ตาม

และสำหรับผมแล้ว การได้ทบทวนเรื่องพวกนี้เป็นระยะ มีส่วนทำให้เราใช้ชีวิตได้โดยไม่เสียดายหรือเสียใจ – และมีส่วนทำให้เรากล้าสบตากับตนเองอย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นตัวเราในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต

เป็นหนังประจำเทศกาลคริสต์มาสอีกเรื่องของผม ที่ต้องเอามาเปิดดูซ้ำอยู่ร่ำไป ดูแต่ละทีก็เหมือนเปิดโหมดสำรวจตัวเองแบบเพลินๆ

สองดาวครึ่งสวยๆ ครับ

Star22

(7.5/10)