Seoul Vibe (서울대작전, ซิ่งทะลุโซล) ภาพยนตร์ Action Crime Comedy สัญชาตเกาหลีใต้ ที่จะพาเราย้อนกลับไปสัมผัสกับบรรยากาศในปี 1988 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศเกาหลีใต้ได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันโอลิมปิคฤดูร้อนครั้งที่ 24 และเป็นครั้งแรกของประเทศเกาหลีใต้ที่ได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันนี้
เขียนบทโดย Sua Shin
กำกับโดย Moon Hyun-sung
นำแสดงโดย
Yoo Ah-in (จากภาพยนตร์เรื่อง #Alive และซีรีส์เรื่อง Hellbound) รับบทเป็น Park Dong-wook
Go Kyung-pyo (จากซีรีส์เรื่อง Reply 1988) รับบทเป็น Oh Woo-sam
Lee Kyu-hyung (จากซีรีส์เรื่อง All of Us Are Dead และ Happiness) รับบทเป็น Bok-nam
Park Ju-hyun (จากซีรีส์เรื่อง Zombie Detective และ Mouse) รับบทเป็น Park Yoon-hee
Ong Seong-wu (สมาชิกวง Wanna One) รับบทเป็น Joon-ki
รับชมได้ทาง Netflix
เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
เรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาว 5 คน ประกอบไปด้วย พัคดงอุค, โออูซัม, พกนัม, จุนกิ และ พัคยุนอี ที่ได้รับการทาบทามจาก อันพยองอุค ซึ่งเป็นอัยการเขตให้ทำภารกิจแฝงตัวเข้าไปทำงานให้กับกลุ่มธุรกิจตลาดเงินกู้นอกระบบที่มีอิทธิพลที่สุดเป็นอันดับ 2 ของเกาหลี ซึ่งนำโดย คังอินซุก และ นายพลอีฮยอนกยูน โดยทั้งคู่ได้แอบทำการซุกซ่อนเงินของรัฐบาลไว้เป็นจำนวนมาก
พวกเขาทั้ง 5 คนจึงมีหน้าที่จะต้องหาหลักฐานความผิดของคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังการคอรัปชั่นนี้ โดยแลกกับการล้างประวัติคดีทั้งหมดที่พวกเขาเคยก่อขึ้นมา
ปฏิบัติการการแฝงตัวจึงเริ่มต้นขึ้น
ความรู้สึกหลังดูจบ
ครั้งแรกที่รู้จักหนังเรื่องนี้ ก็เพราะได้เห็นจากตัวอย่างที่ทาง Netflix ปล่อยออกมา ซึ่งก็ดูเหมือนว่าทิศทางของหนังจะไปในแนวปล้นและซิ่งรถ ประมาณหนังตระกูล Fast and Furious หรือที่น่าจะใกล้เคียงกันหน่อยก็น่าจะประมาณหนังเรื่อง Baby Driver ไอเราก็คาดหวังว่าจะต้องมีฉากซิ่งรถเดือดๆ หรือวางแผนปล้นที่แยบยล
แต่ผิดคาดฮะ หนังไม่ได้มันส์ ไม่ได้เดือดอย่างที่คิดเลยฮะ เล่าเรื่องได้อืดอาด ยืดๆ เนือยๆ มากฮะ รวมถึงฉากไล่ลาซิ่งรถที่ควรจะเป็นจุดขายของเรื่อง ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างหรือโดดเด่นไปกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ออกมาในโทนฉากไล่ล่าดาดๆ ธรรมดาๆ ซะด้วยซ้ำไป
และพวกแผนการต่างๆ ที่วางไว้ มันก็ดูจะดำเนินการผ่านพ้นไปได้อย่างง่ายดายซะเหลือเกิน อย่างเช่นแผนการแอบเข้าไปขโมยเอกสารข้อมูลของเป้าหมาย ก็เคลียร์ได้แบบง่ายๆ จนรู้สึกว่า “เฮ้ย!!! นี่มันถิ่นของผู้มีอิทธิพลอันดับ 2 ของประเทศเลยนะเว้ย มึงจะขโมยข้อมูลออกมาง่ายเกินไปมั้ยฟระ”
หนังมีการสอดแทรกมุกตลกขายขำอยู่เรื่อยๆ ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งมันก็ทำงานได้เพียงแค่พอให้มีขำๆ หึหึ และยิ้มมุมปากบ้างแค่นั้น นั่นจึงทำให้พอดูหนังเรื่องจบแล้ว มันก็ไม่ได้มีความประทับใจอะไรให้พูดถึงอีกเลย
ซึ่งสิ่งที่ชอบที่สุดของหนังกลับเป็นในส่วนของการถ่ายทอดบรรยากาศ, แฟชั่น และแนวคิดของคนยุค 80 ที่ทำออกมาได้ดีพอใช้ได้เลยฮะ (แต่กลับนำมาใช้ได้ไม่คุ้มเท่าไหร่) อย่างเช่นบรรยากาศของกรุงโซลในยุค 80 ที่กำลังจัดเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิคฤดูร้อน หรือจะเป็นความขบถของวัยรุ่นยุค 80 ที่เริ่มได้รับอิทธิของฝั่งตะวันตกมากขึ้น ก็ถูกสะท้อนออกมาผ่านแฟชั่นการแต่งตัวและแนวเพลงที่ฟัง เป็นต้น
สรุป >> ให้ไป 5 เต็ม 10 ละกันฮะ หนังไม่ถึงขั้นแย่ พอดูได้เพลินๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรให้ประทับใจ ดูจบแล้วก็จบกันไป