ผมรู้จักสเมิร์ฟครั้งแรกก็สมัยเด็กๆ เลยครับ จำได้ดูทางช่อง 3 ตัวการ์ตูนมันน่ารักดี รูปร่างเล็กๆ ตัวสีฟ้าๆ และจะว่าไปเนื้อหาการ์ตูนมันก็อ่อนโยนน่ารักตามสไตล์ ส่วนตัวร้ายอย่างการ์กาเมลก็ลงสูตรสำเร็จแบบบรูตัสแห่ง Popeye (ที่ไม่มีทางชนะพวกสเมิร์ฟได้เลย)
พอไปหา Smurfs ฉบับนั้นมาดูอีกครั้ง ผมก็ยังชอบครับ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กสมัยนี้จะมองว่ามันเชยไหม เพราะลายเส้นก็ง่ายๆ เดินเรื่องก็ง่ายๆ แต่ผมว่ามันคลาสสิกในแบบของมันนะ และเนื้อหามันพอเหมาะพอดี ไม่ล้ำเกิน แต่ก็ไม่ปัญญาอ่อนแต่อย่างใด มันมีแก่นสารสาระสอนใจเสมอ
สำหรับภาคนี้ หลายคนเข้าใจว่านี่คือภาคต่อของ The Smurfs ฉบับคนแสดง (ที่นำแสดงโดย Neil Patrick Harris) แต่เอาเข้าจริงนี่คือฉบับรีบูทครับ รีบูทใหม่หมดจด ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉบับคนแสดงทั้งสิ้น (เกี่ยวแค่เป็นเรื่องของเหล่า Smurfs เท่านั้น)
เหตุผลก็ง่ายๆ ครับ The Smurfs 2 ทำเงินไม่เข้าเป้า ประมาณว่าลงทุน $105 ล้าน ได้คืนมาทั่วโลก $347 ล้าน ถึงแม้จะไม่ขาดทุน แต่ก็ทำเงินไม่มากเท่าภาคแรก (ที่ได้ทั่วโลกกว่า $560 ล้าน)
และเมื่อประเมินจากทุนสร้างแล้ว หนังฉบับคนแสดงจริงมันต้องลงทุนเกิน $100 ล้านแน่ๆ ครับ สตูดิโอเลยเปลี่ยนแผนทำเป็น CG ล้วนๆ แทน ลงทุนน้อยกว่ากันเกือบครึ่ง (ภาคนี้ใช้ทุนไปประมาณ $60 ล้านครับ) อันเป็นการลดความเสี่ยงอีกทางหนึ่ง
ภาคนี้เรื่องก็ไม่เกี่ยวกับมนุษย์แล้วครับ หนังโฟกัสมาที่เหล่าสเมิร์ฟตัวฟ้าที่แสนน่ารัก ที่ต้องผจญภัยหาหมู่บ้านสเมิร์ฟที่สาปสูญ โดยพวกเขาต้องรับมือกับเจ้าพ่อมดวายร้ายขาประจำ การ์กาเมลเหมือนเดิมครับ
ก็เป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ ครับ ผมชอบที่โทนมันมันซอฟท์ดี สวยแบบนวลๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะหนังเน้นสีฟ้าด้วย เลยทำให้มันสวยแบบนิ่มนวล ไม่ฉูดฉาดแต่ก็สวยงามในแบบของมัน ถ้าว่ากันถึงงานภาพ ถือว่ามาถูกทางอยู่ครับ
ในขณะที่เนื้อเรื่อง เอาเข้าจริงก็เหมือนฉบับการ์ตูนน่ะครับ เหล่าสเมิร์ฟต้องมีโจทย์ให้ผจญภัย ให้เดินทางไกลไปที่ไหนสักแห่ง ก็จะมีอุปสรรคให้ฝ่าฟัน แล้วก็เรื่องราวสอนใจเกี่ยวกับมิตรภาพอะไรเหล่านี้เป็นต้น
โดยเนื้อหาและแนวทางจริงๆ ก็เหมือนสมัยการ์ตูนสมัยก่อนครับ เพียงแต่เปลี่ยนโทนให้ดูทันสมัยขึ้น ผมชอบฉากล่องแม่น้ำนะ มันดูสวยดี และก็จัดว่าได้อารมณ์ตื่นเต้นประมาณหนึ่ง ก็เชื่อว่าเด็กๆ ดูแล้วน่าจะเพลินพอประมาณครับ (จริงๆ ผู้ใหญ่อย่างผมก็ยังเพลินอยู่เหมือนกัน)
แต่ก็ต้องยอมรับล่ะครับว่าพล็อตมันไม่ได้มีอะไรมาก อันที่จริงพล็อตแบบนี้ถ้าทำเป็นการ์ตูนความยาว 15 นาที หรือครึ่งชั่วโมงมันจะกำลังดีน่ะแหละ แต่พอเอามาทำเป็นหนังเรื่องยาว 1 ชั่วโมงครึ่ง มันก็จะมีช่วงอืดช้า “ยืดเพื่อให้ครบเวลา” แทรกมาเป็นเรื่องปกติ
หนังสอดแทรกเรื่องของมิตรภาพและการทำสิ่งถูกต้องลงมาได้แบบพอเหมาะครับ (หรืออาจจะดูยัดเยียดสำหรับบางคน อันนี้คงต้องแล้วแต่น่ะนะครับ) โดยส่วนตัวผมมองว่าหนังอาจไม่ได้ดีมากมาย แต่ก็สนุก ดูได้เรื่อยๆ และไม่มีพิษภัยครับ เอาไปดูกับเด็กได้เลย
เอาเป็นว่าแฟนๆ Smurfs ก็ดูได้แบบเพลินๆ ครับ แต่ถ้าดูจากรายได้ก็คงไม่มีภาคต่อตามมาอีก เพราะแม้จะลงทุน $60 ล้าน แต่รายได้ก็แค่ $195 ล้านจากทั่วโลก ก็เข้าอีหรอบเดิมครับ ไม่ขาดทุน แต่ก็ไม่ได้โกยสวยงามแบบ The Smurfs ฉบับคนแสดงภาคแรก
สองดาวครับ
(6/10)