THE BANSHEES OF INISHERIN: ผีแบนชีแห่งสงครามกลางเมืองไอร์แลนด์

The Banshees of Inisherin เป็นอีกหนึ่งหนังคุณภาพกับทีมนักแสดงคุณภาพ ของ Martin McDonagh (ผู้กำกับผู้เข้าชิงออสการ์จาก Three Billboards Outside Ebbing, Missouri) ที่ไม่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเรา (ลงสตรีมมิ่ง Disney+ เลย) ซึ่งก็น่าเสียดายเหมือนกันที่เราไม่ได้ดื่มด่ำหนังแบบนี้ในโรงภาพยนตร์

SOME THINGS THERE’S NO MOVING ON FROM. AND I THINK THAT’S A GOOD THING.

โดยพื้นฐาน หนังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นบนเกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่งในไอร์แลนด์ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเพื่อนรักสองคน Pádraic (Colin Farrell จาก The Lobster) และ Colm (Brendan Gleeson จาก In the Heart of the Sea) ที่มักจะใช้ชีวิตแบบ routine และมาเสวนากินเบียร์ด้วยกันทุกวัน ณ ที่เก่าเวลาเดิม แต่แล้ววันหนึ่ง จู่ ๆ Colm ก็เปลี่ยนไป อยากจะ “อันเฟรนด์ (Unfriend)” กับ Pádraic เสียดื้อ ๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยหนังเล่าจากมุมมองของ Pádraic

Pádraic พยายามตามตื๊ออดีตเพื่อนรัก ถามหาเหตุผลว่าทำไมเขาจึงเปลี่ยนไป แต่ Colm ได้แต่บอกว่า เขาแค่ไม่อยากใช้ชีวิตไร้สาระไปวัน ๆ แบบ Pádraic อีกต่อไปแล้ว เขาอยากทำเพลง หรือมีผลงานทิ้งไว้ให้โลกจดจำอย่าง Mozart และเขาจะตัดนิ้วเขาทิ้งทีละนิ้ว ๆ ถ้า Pádraic ยังไม่เลิกยุ่งกับเขา

Pádraic รู้สึกเคว้งเหมือนถูกทิ้งไว้กลางทาง นอกจาก Colm แล้ว ชีวิตเขาก็ไม่มีอะไรอีก นอกจากสัตว์เลี้ยงแสนรัก (ม้า ลา ฯลฯ) Siobhán น้องสาวแสนฉลาด (Kerry Condon จาก Three Billboards Outside Ebbing, Missouri), และ Dominic (Barry Keoghan จาก Eternals) เด็กโง่ที่สุดในหมู่บ้าน ที่เป็นลูกชายของตำรวจเลวในท้องถิ่น

“MAYBE HE JUST DOESN’T LIKE YOU NO MORE.”

โดยหนังเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่ 1 เมษายน ปี 1923 ซึ่งอยู่ในช่วงปลาย Irish Civil War หรือ สงครามกลางเมืองไอร์แลนด์ (28 มิ.ย. 1922 – 24 พ.ค. 1923) ซึ่งเป็นศึกสายเลือด สืบเนื่องจากสนธิสัญญาอังกฤษ-ไอร์แลนด์ (Anglo – Irish Treaty) แบ่งไอร์แลนด์ออกเป็นไอร์แลนด์ตอนเหนือ กับเสรีรัฐไอริช (Irish Free State) สร้างความไม่พอใจแก่กองทัพสาธารณรัฐไอร์แลนด์ (Irish Republican Army) ชนกลุ่มน้อยในไอร์แลนด์เหนือที่นับถือคริสต์โรมันคาทอลิก จึงเกิดการต่อสู้และใช้ความรุนแรงเพื่อเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษที่ถือนิกายโปรแตสแตนต์

*อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองไอร์แลนด์ https://www.bbc.com/thai/international-61985863

การทะเลาะกันของสองตัวละครในหนัง จึงเปรียบเสมือนสงครามกลางเมืองนั้นด้วยก็ว่าได้ เพราะทั้งสองเปรียบเสมือนทั้งเพื่อนรักและพี่น้องกัน วันนึงเกิดแตกคอและขีดเส้นแบ่งต่อกันเพราะอุดมการณ์หรือวิถีชีวิตไม่ตรงกันอีกต่อไป พอทะเลาะกัน ทั้งสองไม่ใช่แค่เริ่มหาทางทำลายกันและกัน แต่ยังทำลายตัวตนของตัวเองไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย เช่น Pádraic ที่ต้องสูญเสียความดีงามในตัวเองและโอกาสที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในแผ่นดินใหญ่กับครอบครัว, สัตว์เลี้ยง (ผู้บริสุทธิ์) ที่ต้องพลอยโดนลูกหลงเพราะความโกรธแค้นและเกลียดชังของเจ้านายจอมเขลา, Colm ที่ยอมสูญเสียนิ้วมือ ทั้งที่เป็นอวัยวะสำคัญในการสร้างสรรค์งานเพลงที่เขาใฝ่ฝัน เท่ากับเป็นการทิ้งอนาคตของตัวเองด้วยเช่นกัน

NICENESS DOESN’T LAST.

The Banshees of Inisherin อาจดูเหมือนต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ดังกล่าวในการเข้าถึงเรื่องราว แต่จริง ๆ แล้ว เราแค่มีความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับ Civil War ใดใดหรือการแบ่งขั้วทางกลุ่มการเมืองใดใด ก็สามารถเข้าใจบริบทได้

อีกอย่าง หนังก็แฝงถึงจุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่ (พูดง่าย ๆ คือ เราเกิดมาทำไม) ซึ่งแต่ละคนก็มีคำตอบ เหตุผล ข้อจำกัด และเป้าหมายแตกต่างกันไป สมัยนี้เรายังโชคดีที่เทคโนโลยีและโซเชียลฯ ช่วยให้โลกกว้างขึ้น คนเรามีอะไรทำร่วมกันมากขึ้นและเจอคนที่ความชอบความสนใจคล้ายกันง่ายขึ้น แต่พอเอาแว่นยุคปัจจุบันไปส่องย้อนดูชีวิตปี 1923 บนเกาะเล็ก ๆ ที่ทุกคนบนเกาะรู้จักกันหมดอย่างในหนัง ทุกอย่างมันดูยากไปเสียหมดแม้กระทั่งการอันเฟรนด์กับใครสักคน แล้วพอโลกแคบ ๆ นั้น มันไม่เหลือสิ่งยึดเหนี่ยวอีกต่อไป ก็เข้าใจได้ว่า คนคนนั้นอาจจะไม่อยากอยู่ ณ ที่แห่งนั้นหรือ ณ โลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว

แล้วถ้าเป็นเราล่ะ… เราจะทำยังไง