The Conjuring: The Devil Made Me Do It (2021) เดอะ คอนเจอริ่ง คนเรียกผี 3 มัจจุราชบงการ

Untitled08596

ระหว่างดู The Conjuring: The Devil Made Me Do It ผมถามตัวเองว่าอะไรทำให้ผมชอบ The Conjuring 2 ภาคแรก แล้วคำตอบก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมา

ความสนุกของ 2 ภาคแรกไม่ได้มีแค่ความตื่นเต้นสยองขวัญ จุดที่ผมชอบจริงๆ ต้องยกให้เรื่องมิติตัวละครไม่ว่าจะความสัมพันธ์ระหว่างเอ็ด (Patrick Wilson) และลอเรนน์ (Vera Farmiga) ที่ไม่ใช่แค่คู่รักปราบผี แต่รายละเอียดระหว่างทางทำให้เราเชื่อว่าพวกเขารักกัน ใจเชื่อมถึงกัน ห่วงใยและใส่ใจกัน คอยเป็นกำลังใจให้กัน

ที่สำคัญคือท่ามกลางความสยองและกลิ่นอายของผีสาง หนังสามารถใส่ความโรแมนติกหวานๆ ระหว่างทั้งคู่ลงไปได้อย่างพอเหมาะ ดูแล้วเชื่อว่าพวกเขาเกิดมาคู่กันและรักกันจนยอมแลกชีวิตให้กันได้

และไม่ใช่แค่มิติของตัวละครหลักเท่านั้น แต่ตัวละครสมทบอย่างครอบครัวที่ต้องเผชิญกันหน้าการจองล้างของผีร้าย พวกเขาก็มีความรักต่อกัน มีสายใยคนในครอบครัวให้เราสัมผัสได้ และสิ่งเหล่านั้นก็กลายมาเป็นสายใยผูกพันตรงมายังใจของคนดู ทำให้เราคอยลุ้นเอาใจช่วย อยากให้พวกเขาพ้นจากเรื่องเลวร้ายนี้ไป

The Conjuring 2 ภาคแรก ถือเป็นหนังผีแบบที่ไม่ได้มีมาบ่อยๆ คือดูแล้วสนุก ตื่นเต้นชวนลุ้น แล้วยังรู้สึกอิน อยากเอาใจช่วยตัวละครทั้งหลาย ในขณะที่หนังสยองทั่วไป เหล่าตัวละครน้อยใหญ่เหมือนจะถูกใส่ลงมาเพื่อเป็นเหยื่อโดนผีฆ่า-ผีหลอก โดยไม่ได้มีมิติความลึกอะไรมาก

และทีเด็ดอีกอย่างคือภาพการหลอกหลอนของผีสางที่ไม่ได้มีแค่โผล่มาแห่ ไม่ใช่แค่ตุ้งแช่แล้วจากไป แต่ลีลาการหลอนมาพร้อมความขลัง ไม่ว่าจะหลอนทางจินตนาการ – ใช้เรื่องเล่าเล่าเพื่อฝังเมล็ดพันธุ์ความน่ากลัวลงในหัวคนดู ก่อนจะปล่อยให้มันเติบโตและออกฤทธิ์ในใจเราในเวลาต่อมา

หรือหลอนด้วยภาพ ผีก็มีวิธีสร้างควาน่ากลัวมากกว่าการตุ้งแช่ บางฉากทุกอย่างดูปกติอยู่ดีๆ รู้ตัวอีกทีผีมาอยู่ตรงนั้นเรียบร้อย หรือบางฉากหากดูด้วยตา ดูยังไงก็ไม่มีผี แต่ในความรู้สึกส่วนลึกของเรามันสัมผัสถึงพลังงานบางอย่างได้ – ผีไม่ได้อยู่แค่ในฉาก แต่มันมานั่งอยู่ในหัวเรา

Untitled08597

ไหนจะความบิดเบี้ยวบางประการ ทั้งบิดร่างกายและบิดบรรยากาศ และที่ลืมไม่ได้คือ “การสำรวจผี” ชี้ชวนพาคนดูไปสำรวจผีประเภทต่างๆ – อะไรเหล่านี้ยอมรับว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ James Wan อย่างแท้จริง

แล้วภาค 3 นี่เป็นอย่างไร? ว่าตามตรงก็คือดูได้เรื่อยๆ ครับ แต่มันกลายเป็นหนังผีในระดับทั่วไปที่ไม่ได้มีหลากลีลาหลายมิติแบบ 2 ภาคแรก ส่วนมากหนังก็จะเน้นไปที่การสืบสวนตามรอยของอาถรรพ์ผีร้าย โดยเอ็ดและลอเรนน์พยายามจะหาข้อพิสูจน์ว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อ อาร์นี่ จอห์นสัน (Ruairi O’Connor) ที่ลงมาฆ่าคนนั้น แท้จริงแล้วเขาทำไปเพราะมีภูตผีบงการ

ในแง่ของการตามรอยตามสืบหนังก็เดินเรื่องไปเรื่อยๆ ครับ ระหว่างทางก็มีการทิ้งปมตามปมไป แต่มันไม่ได้ชวนติดตามแบบเต็มๆ เหมือนเดินหน้าไปเรื่อยๆ สืบไปเรื่อยๆ แต่ความเร่งเร้าไม่เยอะ ส่วนฉากสยองหลอกหลอนของผีร้ายก็ถือว่ามาในท่ามาตรฐาน ไม่ได้มีการออกแบบท่าใหม่แบบที่ Wan เคยทำ

ส่วนเรื่องความรักความผูกพันระหว่างตัวละครก็ไม่เด่นนักเช่นกัน แม้หนังจะใส่ภาพอดีตรักอันหวานชื่นของเอ็ดและลอเรนน์ลงมาประกอบก็ตาม แต่ความหวานซึ้งยังสู้ฉากในภาค 2 ที่ใช้เพลง Can’t Help Falling in Love ไม่ได้ – นึกถึงเพลงนี้ทีไร ภาพที่ทั้งคู่เต้นรำกันจะแว้บเข้ามาในหัวผมทุกที และมันหวานซึ้งแบบไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ

ว่าตามจริงก็เห็นใจ Michael Chaves อยู่เหมือนกันครับ การมารับไม้ต่อจาก Wan นั้นไม่ใช่ของง่ายเลย โดยก่อนหน้านี้เขาก็เคยทำ The Curse of La Llorona มาก่อน ซึ่งสำหรับ The Conjuring ภาคนี้ก็ถือเป็นก้าวต่อมาทีดูโอเคขึ้น แต่ก็ยังเทียบชั้นกับ 2 ภาคแรกไม่ได้อยู่ดี

ดูภาคนี้แล้วรู้สึกธรรมดาครับ แต่ก็ถือว่าพอดูได้ หนังไม่ได้ย่ำแย่อะไร ถ้าเทียบกับหนังผีเรื่องอื่นๆ ก็ถือได้ว่าเรื่องนี้โอเค เพียงแต่ 2 ภาคแรกทำไว้ดีเกินไปครับ หากเอามาเทียบกันในชุดแล้ว ภาค 3 เลยดูดรอปลง แม้สถานการณ์ที่สามีภรรยาวอร์เรนต้องเผชิญในภาคนี้จะถือว่าคอขาดบาดตายขึ้นก็ตาม

สองดาวครับ

Star21

(6/10)