The Noel Diary (2022) บันทึกของโนเอล

Untitled08826

เหตุผลที่ดู The Noel Diary นั้นนอกจากเพราะเป็นหนังคริสต์มาสแล้ว อีกเหตุผลก็คือหนังกำกับโดย Charles Shyer เจ้าของผลงานที่ผมชอบตลอดกาลอย่าง Father of the Bride (1991) ซึ่งเขาก็ห่างหายจากการกำกับหนังไปเกือบ 10 ปีแน่ะครับ

และว่าตามจริงผลงานของเขาก่อนหน้านี้ 3 เรื่องผมยังหาดูไม่ได้เลยครับ ล่าสุดที่ดูคือเรื่อง Alfie น่ะ ถ้านับนิ้วดีๆ สำหรับผมแล้วก็ห่างหายจากผลงานของเขาไปประมาณ 18 ปีทีเดียว

หนังดัดแปลงจากนิยายขายดีของ Richard Paul Evans บอกเล่าเรื่องราวของเจค็อบ เทอร์เนอร์ (Justin Hartley) นักเขียนนิยายแนวสายลับคนดังที่จู่ๆ ก็ได้รับข่าวการจากไปของแม่ เขาเลยต้องเดินทางไปยังบ้านของแม่เพื่อจัดการข้าวของต่างๆ

แล้วที่แห่งนั้นเขาก็ได้พบกับราเชล (Barrett Doss) ที่ตั้งใจมายังบ้านหลังนี้ เพราะเธอกำลังสืบหาแม่ที่แท้จริงของเธออยู่ (เธอเป็นเด็กที่ถูกรับไปเลี้ยงน่ะครับ) และจากเบาะแสที่เธอมีก็คือแม่ของเธอน่าจะเคยอยู่ที่บ้านหลังนี้มาก่อน แล้วจากนั้นเจค็อบก็ช่วยราเชลสืบหาแม่ครับ อันนำมาสู่การเดินทางครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตของพวกเขา

อย่างแรกเลยที่อยากบอกคือชอบดนตรีมากครับ ดนตรีละมุนกรุ่นไออุ่น สารภาพว่าฟังไปสักพักก็ทนไม่ไหว อุทานออกมาเลยว่า “ผลงานใครเนี่ย” พอค้นชื่อก็พบว่าเธอคือ Dara Taylor ครับ ผลงานส่วนใหฤญ่ของเธอจะเป็นหนังฟอร์มไม่ใหญ่หรือไม่ก็หนังทีวี ซึ่งสำหรับผมนี่คือครั้งแรกที่ได้ฟังผลงานของเธอ ก็ยอมรับเลยครับว่าชอบ ท่วงทำนองเหมาะกับหนังครอบครัวในวันคริสต์มาสแบบนี้อย่างยิ่ง

ส่วนเพลง Soundtrack ประกอบนี่ก็ไม่ต้องห่วงครับ เพราะหนังของ Charles Shyer มักมาพร้อมเพลงดีๆ อยู่แล้ว ที่ชอบมากหน่อยต้องยกให้เพลง I’ll Be Home for Christmas (เวอร์ชั่น Steve Tyrell) ที่เข้ากับเรื่องราวอย่างยิ่ง อีกทั้งตอน End Credits ก็ปิดด้วยเพลง Christmas in Connecticut with You (เวอร์ชั่น Steve Tyrell เหมือนกัน) เป็นเพลงที่ปิดเรื่องได้อย่างพอเหมาะครับ

Untitled08827

ที่ชอบต่อมาคือภาพครับ หนังถ่ายภาพได้สวยดี โดยเรื่องนี้เป็นฝีมือของ Ashley Rowe ที่เคยร่วมงานกับ Shyer มาแล้วจาก The Affair of the Necklace และ Alfie ซึ่งปกติผมจะเฉยๆ กับหนังที่มีฉากหลังเป็นหิมะนะ แต่เรื่องนี้ยอมรับเลยว่าถ่ายได้สวย โดยเฉพาะซีนที่พระเอกจะไปเจอกับพ่อ (James Remar) น่ะครับ ฉากนั้นเป็นภาพป่าโปร่งที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ซึ่งออกมาสวยงาม หิมะดูเป็นลอนงามตามากจริงๆ และอีกฉากคือในบ้านของพ่อ ที่แสงแดดส่องลอดหน้าต่าง ฉายผ่านต้นสน ถือเป็นอีกฉากที่สวยและให้ความรู้สึกอบอุ่นได้ดี

ทีนี้ก็มาถึงตัวหนังครับ หนังจัดว่าดูได้เรื่อยๆ เนื้อเรื่องจริงๆ ก็ถือว่ามีปมให้ติดตาม แล้วก็ได้พลังดารามาช่วยเสริม นอกจากพระนางแล้วก็ยังมีดารารุ่นเก่าอย่าง Bonnie Bedelia (Die Hard 2 ภาคแรก) ในบทเอลลี่ เพื่อนบ้านของแม่เจค็อบที่สีหน้าแววตาสื่อถึงความห่วงใยได้อย่างน่าปรบมือ และ James Remar (48 Hrs.) ในบทสก็อตต์ เทอร์เนอร์ พ่อของเจค็อบ รายนี้ก็แสดงได้ดีเสมอครับ ตอนเล่นบทร้ายท่าทางก็จะดูร้ายและเจ้าเล่ห์ แต่หากเล่นเป็นคนดีคนซื่อล่ะก็ รายนี้ก็จะเล่นดีจนเราอดเห็นใจเขาไม่ได้เลยเชียวแหละ

เนื้อเรื่องถือว่าลงสูตรแบบเดาได้ไม่ยากครับ แต่หนังก็ถือว่าเล่าเรื่องได้ไม่เลว เพียงแต่ความเข้มข้นอาจยังไม่มากเท่านั้น โดยเฉพาะหลายๆ ปมที่หนังเปิดไว้ในตอนต้นก็ไม่ค่อยได้รับการสานต่อสักเท่าไร ทั้งๆ ที่หากสานต่อดีๆ บิ้วอารมณ์ดีๆ ล่ะก็ จะสามารถนำมาซึ้งความซึ้งและความประทับใจได้อีกมากโข

บางปมก็เหมือนเล่าแบบผ่านๆ ไม่ได้ลงลึกทั้งที่จริงๆ ก็มีประเด็นน่าสนใจ หรือบางปมบทจะสรุปก็สรุปแบบง่ายๆ จนแอบเสียดายอยู่เหมือนกัน – โดยเฉพาะปมเกี่ยวกับแม่ของราเชลซึ่งจริงๆ ถือว่าเป็นไฮไลท์สำคัญ แต่บทจะจบก็จบแบบง่ายๆ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกค้างคา

อีกทั้งตอนจบก็ดูจะลงเอยง่ายไปนิดครับ โดยเฉพาะเรื่องของพระเอกนางเอกที่ตอนแรกทำท่าว่าจะมีความซับซ้อน แต่พอถึงตอนจบก็สรุปจบแฮปปี้แบบง่ายๆ จนรู้สึกว่ามันง่ายไป มันตามสูตรเกินไป

ดังนั้นถ้าจะบอกว่าหนังเรื่องนี้ถือเป็นการกลับมาที่ยังไม่ค่อยน่าพอใจแบบเต็มๆ สำหรับ Shyer ครับ คือโทนหนังและตัวหนังถ้าดูแบบเพลินๆ มันก็ได้แบบเรื่อยๆ แต่กลายเป็นว่าในเชิงรายละเอียดของแต่ละปมเชิงดราม่ากลับไม่ลึกสักเท่าไร หนังเลยออกมาในระดับกลางๆ ครับ

แต่บางฉากบางตอนก็ถือว่าทำได้ดีครับ อย่างการพบกันอีกครั้งระหว่างเจค็อบและพ่อ ที่ชอบสุดคงเป็นฉากที่พ่อกับเจค็อบจะอำลากัน โดยผู้เป็นพ่อนั้นไม่กล้ากอดลูก เขาเลยยื่นมาออกไปเพื่อจับมือลาอย่างเกรงๆ แต่แล้วเจค็อบก็โอบกอดเขาครับ ฉากนี้น่ารัก สีหน้าท่าทางของ Remar ก็สื่ออารมณ์ได้ดีจริงๆ

แล้วผมยังชอบคำพูดของราเชลด้วย ตอนที่เจค็อบทำท่าว่าจะไม่ยอมคุยกับพ่อเนื่องมาจากพวกเขามีอดีตที่เปี่ยมรอยร้าวต่อกัน จนเจค็อบจะเดินหนี ราเชลเลยพูดว่า “ทำไมคุณไม่เป็นผู้ใหญ่คนแรกในบ้านที่ไม่หนีไปล่ะ?” มันสื่อแบบตรงๆ ครับว่าถ้าเจค็อบยังหนีอยู่ ปมนี้ก็จะอยู่ในใจตลอดไป ไม่ได้รับการคลี่คลาย และบางอย่างที่เจค็อบไม่เคยรู้ก็อาจจะไม่ได้รู้อีกต่อไป ครั้นจะมาอยากรู้ทีหลังแต่พ่อไม่อยู่แล้ว มันก็จะกลายเป็นปมในใจเขาไปอีกแสนนาน

บางครั้งหากอยากจัดการกับปัญหา ก็ต้องกล้าสบตากับมันครับ

แล้วก็ตามธรรมเนียมหนังของ Shyer ที่ต้องให้คนในครอบครัวของเขามารับเชิญบทเล็กๆ เสมอ และสำหรับเรื่องนี้ก็เหมือนกันครับ โดยภรรยาของเขา Deborah Lynn-Shyer มารับบทเป็นคนที่ส่งไซเดอร์ให้พระ-นางดื่มในงานหนังกลางแปลง ส่วนเด็กหนุ่มและหญิงสาวที่มาถามเรื่องที่นั่งตอนพระ-นางกำลังจะดู It’s a Wonderful Life นั้นก็คือ Sophia Shyer และ Jacob Shyer ลูกของพวกเขานั่นเอง

หนังถือว่าโอเคแต่ยังดีได้อีกครับ เหมือนมีวัตถุดิบค่อนข้างครบ แต่รสชาติยังไม่เข้มข้นถึงเครื่อง

สองดาวกว่าครับ

Star21

(6.5/10)