เป็นที่ทราบกันดีว่าผืนแผ่นดินอเมริกานั้น ผู้ที่อาศัยอยู่แต่ดั้งแต่เดิมคือชนพื้นเมืองชาวอินเดียนแดง แต่ครั้นพอคนผิวขาวย้ายมาอยู่กันมากๆ เข้า ชาวอินเดียนแดงก็ถูกบีบคั้นให้มีที่อยู่อาศัยน้อยลงเรื่อยๆ และยังถูกกวาดล้างจนเหลือประชากรน้อยลงตามลำดับ มิหนำซ้ำยังโดนคนผิวขาวกำหนดกฎเกณฑ์จำกัดสิทธิ์สารพัด จนแปรสภาพจากเจ้าของดินแดนดั้งเดิมกลายเป็นเพียงพลเมืองชั้นรอง
Thunderheart เป็นหนังที่สะท้อนความจริงที่ผมได้กล่าวไปนั่นแหละครับ เหตุเกิดที่เซาธ์ ดาโกต้า เมื่อลีโอ ฟาสต์ เอลค์ (Allan R.J. Joseph) ชาวอินเดียนแดงคนหนึ่งถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม และบรรยากาศของเมืองนั้นก็กำลังระอุเพราะชาวอินเดียนแดงบางส่วนก็ประท้วงต่อต้านการเข้าควบคุมของเหล่าคนผิวขาว ทาง FBI จึงตัดสินใจส่ง เรย์ ลีวอย (Val Kilmer) เจ้าหน้าที่ที่มีเชื้อสายอินเดียนแดงเข้ามาทำการสืบคดี ด้วยความหวังว่าชนเผ่าอินเดียนแดงพื้นเมืองจะเห็นแก่ที่เรย์มีเชื้อสายเดียวกัน และยอมให้สืบสวนได้โดยสะดวก
แต่เรื่องกลับไม่ง่ายอย่างนั้นครับ เพราะการที่เรย์ถูกเลี้ยงมาอย่างชนผิวขาวก็ทำให้ชนพื้นเมืองบางส่วนตั้งแง่ว่าเขาเป็นเหมือนคนขาวมากกว่าคนอินเดียนแดง ในขณะที่คนผิวขาวในเมืองก็ตั้งแง่กับเขา เพราะเขาเป็นผู้มาใหม่ พวกนั้นเลยรู้สึกเหมือนว่ากำลังโดนแทรกแซงจากคนภายนอก
ส่วนในแง่ของคดีนั้น ตอนแรกก็เหมือนจะง่ายครับ เพราะเจ้าหน้าที่ประจำถิ่นอย่างแฟรงค์ (Sam Shepard) ได้เล็งผู้ต้องสงสัยไว้แล้ว ที่เหลือก็แค่จับตัวมาดำเนินคดี แต่กลายเป็นว่าพอเรย์เดินหน้าสืบสวน เขากลับพบความไม่ชอบมาพากลมากขึ้นทุกขณะ ราวกับว่าคดีฆาตกรรมนี้มีเบื้องหลังมากกว่าจะเป็นแค่การฆ่ากันตายธรรมดาๆ
และเมื่อเรย์ใกล้ความจริงมากเท่าไร เขาก็ยิ่งเข้าใกล้อันตรายมากขึ้นเท่านั้น
หนังจัดว่าเป็นแนวสืบสวนที่ทำได้น่าติดตามทีเดียวครับ ดูแล้วชวนให้นึกถึง Chinatown ที่ตัวเอกต้องมาสืบคดีที่ดูไม่น่าจะมีอะไร แต่พอขุดไปคุ้ยมาก็พบว่ามันมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่าที่ตาเห็น ซึ่งการเดินเรื่องก็ถือว่าทำได้น่าพอใจครับ อาจไม่ถึงกับคลาสสิกหรือยอดเยี่ยม แต่ก็ถือว่าอยู่ในขั้นดีและควรค่าแก่การรับชม
การเดินเรื่องนั้นถือว่าน่าติดตามแบบกำลังเหมาะครับ บทหนังดึงดูดความสนใจเราด้วย 2 สิ่ง สิ่งแรกคือการสืบคดีที่มีการทิ้งปมให้เรย์ตามอยู่เป็นพักๆ และสิ่งที่ 2 คือปฏิสัมพันธ์ระหว่างเรย์กับชาวอินเดียนแดงที่มีจุดให้สนใจเป็นพักๆ ไม่ว่าจะมุมมองที่ชาวอินเดียนแดงมองเขา (ซึ่งก็เป็นการวิพากษ์คนขาวอยู่ในที) หรือแง่คิดปรัชญาที่ชาวอินเดียนแดงยึดถือ ซึ่งก็ได้ถ่ายทอดออกมาให้คนดูอย่างเราๆ ได้รับรู้ผ่านวิถีชีวิตในแต่ละวันของคนอินเดียนแดงในเรื่อง ซึ่งผมรู้สึกว่าหนังนำเสนอในส่วนนี้ได้อย่างน่าค้นหาดีครับ (เพียงแต่มันก็อาจจะยังไม่ถึงขั้นลึกซึ้งอะไรมากเท่านั้นเอง)
Kilmer ถือว่าไปได้สวยในบทเรย์ครับ เขาดูเป็นคนดี ไฟแรง และมีสมอง แต่ขณะเดียวกันก็มีปมบางอย่างเกี่ยวกับเชื้อสายอินเดียนแดงที่มีอยู่ในตัวเขา อันทำให้เขารู้สึกสับสนในบางช่วงบางตอน ซึ่งก็เพิ่มมิติให้กับบทของเรย์ได้อย่างน่าสนใจ ส่วน Shepard ที่ว่าตามจริงแล้วเขาไม่ได้ปรากฏตัวเยอะนะครับ แต่มาทีไรก็มาพร้อมพลังการแสดงที่ได้ระดับ เพราะบทของแฟรงค์นี่นอกจากจะต้องดูมีอำนาจแล้ว ยังต้องดูมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่ด้วย ซึ่ง Shepard ก็ทำได้ดีครับ
Graham Greene ในบทวอลเตอร์ โครว์ ฮอสส์ ตำรวจอินเดียนแดงที่รู้ตื้นลึกหนาบางในดินแดนที่เขาอยู่พอสมควร และเขาก็พยายามนำมันมาถ่ายทอดให้เรย์ได้รู้ จะได้ตาสว่างว่าดินแดนแห่งนี้กำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น ซึ่ง Greene ก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับ เวลาเขาประกบคู่กับ Kilmer นี่ถือว่าต่างคนต่างช่วยเสริมความเด่นให้กันและกันได้อย่างดีเลยล่ะ
และอีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ Ted Thin Elk ที่มาแสดงเป็นคุณปู่แซมน่ะครับ อินเดียนแดงท่านนี้ไม่ใช่นักแสดงอาชีพ แต่ท่าทางที่ดูเป็นธรรมชาติของท่านก็เพิ่มความน่ารักให้กับหนังได้อย่างพอดี
ดาราในเรื่องแสดงดี การเดินเรื่องและบทหนังก็ถือว่าอยู่ในขั้นดี (แต่ก็ยังดีได้อีกและเข้มข้นได้อีกครับ เพียงแต่เท่าที่เป็นนี่ก็ถือว่าน่าพอใจมากพอสมควรแล้ว) และจุดเด่นอีกอย่างคืองานภาพครับ หนังได้ Roger Deakins มาคุมงานกล้องให้ ซึ่งในสมัยนั้นชื่อเสียงของเขาอาจจะยังไม่มากน่ะนะครับ แต่ฝีมือของเขาฉายแววให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะช็อตมุมกว้างที่ถ่ายทอดให้เห็นพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลของถิ่นชาวอินเดียนแดงที่ดูยิ่งใหญ่และสวยงาม
และในเวลาต่อมาเขานี่แหละครับที่กำกับภาพให้กับหนังดีๆ อย่าง The Shawshank Redemption, Fargo, No Country for Old Men, True Grit, Skyfall ซึ่งแต่ละเรื่องก็ทำให้เขาได้เข้าชิงออสการ์ทั้งสิ้น จนกระทั่งเขามาได้ออสการ์ไป 2 ตัวติดๆ จาก Blade Runner 2049 และ 1917 ครับ
หนังกำกับโดย Michael Apted แห่ง Coal Miner’s Daughter, Gorky Park, Gorillas in the Mist แล้วก็ได้กำกับหนังเจมส์ บอนด์ตอน The World Is Not Enough ในเวลาต่อมา ซึ่งเขาคนนี้มักไว้ใจได้เสมอยามทำหนังที่มีเนื้อหาเข้มๆ กับเรื่องนี้ก็ถือว่าเขาคุมงานได้ไม่เลวครับ จังหวะการเดินเรื่องต่างๆ นับว่าน่าพอใจ เพียงแต่ยังไม่ยอดแบบสุดๆ เท่านั้น (อย่างการสืบสวนแม้จะน่าสนใจ แต่ก็ยังเร่งเร้าให้น่าติดตามมากกว่านี้ได้อีก)
ถือเป็นหนังแนวสืบสวนผสมดราม่าที่ทำออกมาได้ดีครับ จุดสำคัญเลยคือหนังสะท้อนวิถีชีวิตที่ถูกกดขี่ของชาวอินเดียนแดง บางครั้งก็ไม่ได้รับโอกาส ไม่ได้รับความเป็นธรรม และยังโดนเอารัดเอาเปรียบอีกต่างหาก ซึ่งบทสรุปในตอนท้ายก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกให้เราตระหนักล่ะครับว่า หากเราต้องตกอยู่ในสภาพแบบเดียวกับชาวอินเดียนแดงแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำก็คือต้องยืดหยัดเพื่อตนเอง (เพราะใครเล่าจะมายืนหยัดแทนพวกเขาได้) อีกทั้งต้องต่อสู้เพื่อทวงสิทธิ์ในความเป็นคนกลับคืนมา
และขณะเดียวกันหนังก็ให้ข้อคิดกับคนที่หมายจะเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ว่าจงอย่าได้ทำอะไรที่มันเกินไปนัก เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งแล้ว แรงโต้กลับอาจส่งผลเสียหายสะท้อนกลับไปในแบบที่คาดไม่ถึงก็ได้
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)