ผมพบว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ดู Venom หลายหนมากๆ ประมาณว่าเปิดทีวี-เคเบิ้ลก็มักจะเจอ หรือตอนไปแวะเวียนเยี่ยมเยียนใคร ก็จะพบว่าทีวีที่บ้านนั้นจะต้องมี Venom อยู่ในจอเสมอ แล้วผมก็มักจะมีโอกาสได้ดูจนจบทุกทีไป
จำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งถึงกับมีท่อนฮุคของเพลง Venom ดังก้องอยู่ในหัว จนแอบรู้สึกหลอนอยู่เหมือนกัน
ถ้าถามว่าชอบ Venom ไหม ก็ตอบได้ว่ากลางๆ ครับ หนังดูได้เรื่อยๆ มีทั้งจุดที่เข้าท่าและจุดที่ยังดีได้อีก ถ้าให้นึกถึงจุดที่ชอบอย่างแรกก็คงเป็น Tom Hardy ที่เหมาะมากกับบทเอ็ดดี้ บร็อค เขาดูเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตตามแนวทางที่ตนเห็นว่าเหมาะควร บางทีก็ทำลงไปด้วยอารมณ์ จนบางครั้งก็ล้ำเส้นและส่งผลให้ชีวิตตนเจอเรื่องแย่ๆ
ยอมรับว่าช่วง 30 นาทีแรกของหนังนั้น ตอนดูรอบแรกก็เรื่อยๆ ดีครับ แต่พอดูซ้ำในรอบหลังๆ ก็แอบเบื่อเล็กๆ ต้องรอจนกระทั่งเวน่อมมาเข้าตัวเอ็ดดี้ อะไรๆ ก็ดูน่าสนใจขึ้น ซึ่งส่วนที่ผมชอบเกี่ยวกับเวน่อมไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคพิเศษต่างๆ ที่หนังเนรมิตลงไปเท่านั้น แต่ผมชอบที่หนังสามารถปูพื้นสร้างคาแรคเตอร์ตัวตนของเวน่อมออกมาได้ ผ่านการสนทนาระหว่างเขาและเอ็ดดี้
เอาเข้าจริงในเรื่องนี้เราจะเห็นเวน่อมไม่เยอะนะครับ ส่วนมากเวน่อมจะมีบทบาทผ่านการพูดในหัวของเอ็ดดี้ ซึ่งหนังบางเรื่องอย่าว่าแต่ฉากพูดในหัวเลย ขนาดสร้างตัวตนออกมาโลดแล่นแบบเต็มๆ ทั้งเรื่องก็ยังไม่เด่นในเรื่องคาแรคเตอร์ แต่กับเวน่อมนี่ถือว่าเด่นใช้ได้ ฟังแล้วรู้ว่าเวน่อมเป็นคนยังไง มีความคิดประมาณไหน อาจไม่ถึงขั้นรู้จักลึกซึ้ง แต่ก็ถือว่ารู้ว่าเวน่อมมีความร้ายกาจ แต่ก็ไม่ร้ายเกิน และยังพอมีหัวจิตหัวใจกับเขาอยู่เหมือนกัน
อีกตัวละครที่ชอบคือคาร์ลตัน เดรค (Riz Ahmed) เศรษฐีนักธุรกิจที่เด่นมากเวลาพูดจาปราศรัยกับใคร เขาจะสามารถโน้มน้าวใครๆ ให้คล้อยตามสิ่งที่เขานำเสนอ บางครั้งก็วาดฝัน วาดอนาคต บรรยายสรรพคุณถึงสิ่งที่เขาต้องการอย่างเลิศหรูดูดี จนผู้ฟังอดไม่ได้ที่จะคล้อยตาม แต่ขณะเดียวกันหนังก็สามารถสื่อความโหดเหี้ยมจนน่ากลัวของเขาคนนี้ได้ ผ่านท่าทางยามที่พูดจาสวยหรูอยู่นั่นเอง
โดยรวมผมมองว่าหนังลงสูตรสำเร็จนะ แต่ถือว่าเวิร์กพอตัว และจุดดีอีกอย่างคือหนังยาวจริงๆ แค่ชั่วโมงครึ่งน่ะครับ ช่วงต้นอาจเดินเรื่องเรื่อยๆ สักหน่อย แต่ตอนกลางและตอนท้ายก็รวบจบสรุปความได้เร็วดี เลยไม่ทำให้รู้สึกว่าน่าเบื่อ แม้เอาเข้าจริงแล้วสิ่งที่ได้ดูนั้นจะไม่ได้หวือหวาแปลกตาอะไรมากก็ตาม
และอีกคนที่มาน้อยแต่ทำให้เราจำแม่นเกินคาดคือคุณนายเฉิน (Peggy Lu) ตามปกติตัวละครแบบนี้จะผ่านมาแล้วผ่านไป แต่สำหรับคุณนายเฉินนี่ทำให้เราจำได้ อาจเพราะแต่ละฉากที่คุณนายเฉินปรากฏตัวนั้น จะมีเหตุการณ์ชวนให้เราจำเกิดขึ้น และแอบทำให้เราเห็นใจหน่อยๆ เวลาเธอโดนคนไม่ดีมาข่มขู่ข่มเหง
หนังกำกับโดย Ruben Fleischer แห่ง Zombieland ทั้ง 2 ภาค ซึ่งถ้าให้ว่ากันแบบตรงๆ แล้ว ผมออกจะชอบรสมือของเขาใน Zombieland มากกว่า เพราะมาครบทั้งตัวละครน่าจดจำ การเดินเรื่องลื่นไหลสยองปนฮา และความสนุกเพลิดเพลินแบบกำลังดี
แม้หนังจะไม่ได้สุดยอดอะไร แต่ก็พอเข้าใจครับที่หนังทำเงินสวยงามไปกว่า $856 ล้านจากทั่วโลก (จากทุนประมาณ $100 ล้าน) เพราะมันดูได้เรื่อยๆ ดูได้แบบเพลินๆ มีสิ่งที่ควรมีครบตามสูตร เพียงแต่การปรุงรสเคล้าเรื่องอาจยังไม่กลมกล่อมแบบสุดๆ เท่านั้นเอง อีกอย่างคือหนังถือว่ามาถูกจังหวะ มาพร้อมสโลแกน “โลกเรามีซูเปอร์ฮีโร่มากพอแล้ว” เลยทำให้การมาของฮีโร่สายร้ายแบบนี้ มีที่ยืนพอดิบพอดี
สรุปว่าไม่ผิดหวังครับสำหรับหนังเรื่องนี้
สองดาวกว่าๆ ครับ
(6.5/10)