อีกหนึ่งผลงานซีรีส์ BL ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในประเทศญี่ปุ่น (และบ้านเรา) กับ Cherry Magic! หรือในชื่อภาษาไทยว่า เชอร์รีเมจิก ถ้า 30 ยังซิง! จะมีพลังวิเศษ ซึ่งลงทางสตรีมมิ่ง WeTV โดยการ “คัมแบค” กลับมาครั้งนี้ ทั้งสองตัวเอกอย่างคิโยชิ อาดาจิ และยูอิจิ คุโรซาวะ กำลังต้องเผชิญบททดสอบชีวิตบทใหม่
Cherry Magic! เป็นผลงานการเขียนของ อ. ยู โทโยตะ ก่อนจะได้รับการดัดแปลงมาเป็นผลงานซีรีส์ความยาว 12 ตอน และมีตอนพิเศษอีก 3 ตอน เป็นงานกำกับของฮิโรกิ คาซามะ โดยเริ่มแรกนั้นผลงานเรื่องนี้ถือว่าเป็นซีรีส์สเกลเล็กๆ ออกฉายทาง TV Tokyo ในช่วงสล็อตเวลาที่เรียกว่า Moku Dra 25 (木ドラ25 หรือ Thursday Drama 25:00) ซึ่งเวลาที่ออกอากาศ ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมีคนมารอดู เพราะมันออนแอร์ตอนตีหนึ่งวันพฤหัสบดี แต่ด้วยเรื่องราวที่น่าประทับใจและทุกคนเข้าถึงได้ จึงทำให้เรื่องราวของสองตัวละครนี้เข้าไปนั่งอยู่ในใจของผู้ชม จนทำให้เกิดกระแสปากต่อปาก และทำให้มันได้รับการพูดถึงจวบจนทุกวันนี้
เรื่องราวในซีรีส์เล่าถึงอาดาจิ พนักงานออฟฟิศบริษัทเครื่องเขียนในวัย 30 ปี เขาเป็นคนไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง อยู่กับความคิดของตัวเอง และไม่เคยเปิดประตูหัวใจให้กับใคร เรื่องการเดินไปจีบคนอื่นก่อนนี่เรียกได้ว่าปิดประตูตายได้เลย ด้วยนิสัยไม่เปิดตัวทำให้อาดาจิ มีเพื่อนซี้เป็นซึเกะ นักเขียนนิยายที่มักจะคอยให้คำปรึกษาเรื่องปัญหาชีวิตกับอาดาจิอยู่เสมอ และเขาก็พูดติดตลกว่า ถ้าอาดาจิอายุเข้าเลข 3 แต่ยังโสดและซิงอยู่ เขาจะกลายเป็นคนมีพลังพิเศษขึ้นมา
เมื่อวันเกิดอายุ 30 มาถึง ในเช้าวันนั้นเองเมื่ออาดาจิขึ้นลิฟต์ที่ยัดทะนานหนาแน่นไปด้วยเหล่าพนักงานออฟฟิศ เขาเริ่มได้ยินเสียงความคิดของคนอื่นดังขึ้นเรื่อย นั่นทำให้เขาตกใจและรู้ว่าตัวเองมีความสามารถในการอ่านใจและล่วงรู้ความคิดของคนที่เขาสัมผัสตัว และด้วยพลังวิเศษนี้เองทำให้เขาเผลอไปรับรู้ว่า คุโรซาว่า หนุ่มหล่อผู้เป็นที่หมายปองของสาวๆ ผู้ทำงานเป็นหัวหน้าแผนกเซลล์แอบหลงรักอาดาจิอยู่ แถมไม่ใช่ชอบแบบธรรมดาด้วย แต่อยู่เลเวลคลั่งรักจนตัวอาดาจิเองก็แอบตกใจว่า คนนอกสายตาและมองว่าเขาคือเทพบุตรจะมาตกหลุมรักหนุ่มเห่ยๆแบบเขา
ด้วยพลังวิเศษที่อาดาจิมี ทำให้เขาเข้าสนิทชิดใกล้กับทางคุโรซาว่ามากยิ่งขึ้น ส่งผลให้อาดาจิเองได้มีโอกาสพัฒนาตัวเองทั้งความสามารถในการทำงาน การเริ่มเปิดใจทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยเชื่อว่ามั่นว่าจะทำได้ รวมไปถึงยอมที่จะให้คุโรซาว่าได้เข้ามาในชีวิตของเขา จากแค่เพื่อนร่วมงาม สู่ฐานะของคนรู้ใจในเวลาต่อมา
ในเวอร์ชั่นซีรีส์เราจะได้พัฒนาการของตัวละครอย่างอาดาจิ ที่ไม่เคยมีความกล้าหาญในชีวิต กระทั่งจะพูดความรู้สึกของตัวเอง สิ่งที่ไม่โอเคระหว่างการทำงานของเขากับเพื่อนร่วมงาน เขาก็ไม่เคยพูด ทุกอย่างในชีวิตคือการยอมอีกฝ่ายอยู่เสมอ แต่เมื่ออาดาจิได้ก้าวข้ามผ่านความกลัวของตัวเอง เขาก็ได้เข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องนั้นก็ต้องทำตามความรู้สึกและทำตามหัวใจของตัวเอง และในตอนท้ายของซีรีส์เราอาจจะค้นพบว่าพลังพิเศษของอาดาจิได้หายไปแล้วเรียบร้อย แลกมากับความสัมพันธ์อันงดงามระหว่างเขากับคุโรซาว่า
ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์คือการพาผู้ชมไปสำรวจเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครทั้งสอง ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในวันที่อาดาจิไม่มีพลังในการอ่านใจ และเขาต้องย้ายไปทำงานในพื้นที่ห่างไกลแบบปุบปับ นั่นทำให้เขาต้องห่างจากคุโรซาว่า ความก้าวหน้าในอาชีพการงานเป็นอนาคตที่อาดาจิต้องการ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็จำต้องรักษาความสัมพันธ์ทางไกลพร้อมๆกัน
บททดสอบแรกอาจจะยังไม่ท้าทายเท่ากับในวันที่ทั้งสองฝ่าย ตัดสินใจที่จะพาคู่ ของตัวเองไปแนะนำให้กับที่บ้านของพวกเขาได้รู้จัก ในฐานะแฟน ดูเหมือนในแต่ละบ้าน ความยากในการจะทำให้ที่บ้านยอมรับ ในสิ่งที่พวกเขาเป็นก็เป็นเรื่องยากแล้ว แต่หนังก็เลือกโจทย์ที่ยากกว่า เมื่อทั้งสองคาดหวังว่าการเปิดประตูให้ที่บ้านรู้ จะนำไปสู่การแต่งงานในฐานะคู่ชีวิต
อย่างที่เราทราบกันดีว่า ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ประเด็น “การสมรสเท่าเทียม” (same-sex marriage) ถือเป็นการเคลื่อนไหวทางสังคมของกลุ่ม LQBTQ+ ทั่วโลก พยายามต่อสู้เพื่อให้คู่รักเพศเดียวกัน ได้รับสิทธิเช่นเดียวกับคู่รักต่างเพศที่แต่งงานกัน ล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2565 เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเพิ่งจะมีการรองรับสถานะของคู่รักเพศเดียวกันในฐานะคู่ชีวิต แม้ว่าการรองรับดังกล่าวอาจจะยังไม่ใช่การสมรสตามหลักกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นก็ตาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวนี้ก็ถือได้ว่า มันคือก้าวสำคัญสำหรับประเทศญี่ปุ่น
แม้สิ่งที่เกิดขึ้นใน Cherry Magic! อาจจะดูเป็นภาพฝันจินตนาการหวานชื่น สำหรับสาววายและใครหลายคน แต่การที่ฉากเช่นนี้เกิดขึ้นในหนังญี่ปุ่น ประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีความอนุรักษ์นิยมสูงมาก และการเป็น LGBTQ+ แทบจะกลายเป็นกลุ่มคนชายขอบที่ถูกผลักตกจากการให้ความสำคัญอยู่บ่อยครั้ง การเป็น “ภาพตัวแทน” ของตัวละครอย่างอาดาจิและคุโรซาว่า ที่ผ่านงานวิวาห์ท่ามกลางครอบครัวของทั้งสองฝ่าย และชีวิตคู่หลังจากนั้นในฐานะ “คนธรรมดา” ที่เดินจูงมือกันอย่างเปิดเผยในสวนสาธารณะ เป็นธรรมดาสามัญ ถือเป็นการสะท้อนภาพความคาดหวังที่ใครหลายคนอยากจะให้สิ่งดังกล่าวเกิดขึ้นจริงในอนาคต ในประเทศญี่ปุ่นทั้งทุกเมือง (รวมถึงประเทศอื่นๆในโลก) ด้วยเช่นกัน