[รีวิวซีรีส์] Loki Season 2

ซีรีส์ ‘Loki’ ที่ฉายใน Disney+ น่าจะเป็นไม่กี่ไตเติลใน MCU (Marvel Cinematic Universe) ณ เวลานี้ที่ได้รับการพูดถึงอย่างมาก เพราะเป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องของเทพจอมกะล่อน กับการผจญภัยในมัลติเวิร์สได้สนุกครบรส จนได้รับคำชื่นชมมากมาย ได้เข้าชิงรางวัล Primetime Creative Arts Emmy Awards มากถึง 6 สาขา และพอเดินทางมาถึงซีซัน 2 ในยุคที่คนเริ่มเอียนกับมาตรฐานคอนเทนต์ของ Marvel Studios ก็ปฏิเสธไม่ได้ที่ ‘Loki’ จะกลายเป็นความหวังของหมู่บ้านที่จะ ‘แบก’ เรื่องราวในเฟส 5 ของ Multiverse Saga ต่อไป และขับเคลื่อนมาตรฐานของค่ายให้กลับมาโดนใจคนดูอีกครั้งเสียที

ในซีซันนี้ยังได้ ไมเคิล วอลดรอน (Michael Waldron) ผู้เขียนบทร่วม ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’ (2022) มารับหน้าที่เป็นครีเอเตอร์ แต่มีการเปลี่ยนผู้กำกับจาก เคท เฮอร์รอน (Kate Herron) ในซีซันแรก เป็น จัสติน เบนสัน (Justin Benson) และ แอรอน มัวร์เฮด (Aaron Moorhead) คู่หูผู้กำกับซีรีส์ MCU ขวัญใจแฟน ๆ อีกเรื่องอย่าง ‘Moon Knight’ (2022) มาเป็นผู้กำกับหลัก นอกจากนี้ก็ยังได้ แดน เดลิว (Dan DeLeeuw) Visual Effects Supervisor ของ Marvel Studio และ แคสรา ฟาราฮานี (Kasra Farahani) มาร่วมกำกับในบางตอนครับ

ก่อนอื่นขอ Recap ซีซันแรกสั้น ๆ ว่า ณ ตอนนี้ ชายผู้คงอยู่ (He Who Remains) จบชีวิตลงที่วิหารจุดสิ้นสุดของเวลา (Citadel at the End of Time) ด้วยฝีมือของ ซิลวี (โซเฟีย ดิ มาร์ติโน – Sophia Di Martino) ตัวแปรโลกิผู้หญิง ส่วน โลกิ (ทอม ฮิดเดิลสตัน – Tom Hiddleston) ถูกซิลวีส่งกลับมายังสำนักงาน TVA (Time Variance Authority) ผลกระทบหลังจากนั้นคือการแตกแขนงของเส้นเวลา (Nexus Event) ออกนอกเส้นเวลาศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Timeline) แบบไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ มอร์เบียส (โอเวน วิลสัน – Owen Wilson) เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลของ TVA และฮันเตอร์ B-15 (วันมี โมซากู – Wunmi Mosaku) หน่วยไล่ล่าของ TVA จำโลกิไม่ได้อีกต่อไป (หรือ TVA จะเป็นคนละไทม์ไลน์ ? )

ในซีซันนี้โลกิต้องเผชิญกับอาการเวลาไถล (Time Slipping) ที่ทำให้เขาไถลไป ๆ มา ๆ ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตแบบไม่อาจควบคุมได้ เราจะได้เห็นการไถลผ่านช่วงเวลาของโลกิใน TVA ที่เคยเป็นพื้นที่ควบคุมที่กาลเวลาไม่มีผลใด ๆ มอร์เบียสและโลกิเดินทางไปหา โอโรโบรอส/โอบี (คีฮุยควน – Ke Huy Quan) เจ้าหน้าที่ฝ่ายซ่อมแซมและพัฒนาของ TVA จนทำให้พวกเขาต้องค้นหาต้นตอที่ดูเหมือนจะใหญ่กว่าที่คิด นอกจากนี้ โลกิยังต้องออกตามหาซิลวี และต้องเดินทางไปพบกับ วิกเตอร์ ไทม์ลี (โจนาธาน เมเจอร์ส – Jonathan Majors) และ ผู้พิพากษา ราวอนนา เรนสเลเยอร์ (กูกู อึมบาทา-รอว์ – Gugu Mbatha-Raw) ก่อนที่ทุก ๆ เวลาจะสูญสลายไปตลอดกาล

ด้วยความที่ตัวซีรีส์เองมีความเป็นเอกเทศ และอิสระจากไตเติลอื่น ๆ ของ MCU อยู่พอสมควร รวมทั้งการที่เนื้อเรื่องในซีซันนี้ จะเป็นเหตุการณ์ที่เล่าต่อเนื่องจากซีซันแรกทันที และที่สำคัญคือ เป็นการเล่าเรื่องที่เรียกว่าทะเยอทะยานมากขึ้นจากภาคแรกในทุกด้านครับ เพราะปัญหาไม่ได้มีแค่ Time Slipping ของโลกิเฉย ๆ แต่พวกเขาต้องรับมือกับ Nexus Event ที่ร้ายแรงมากขึ้นทุกที พล็อตในซีซันนี้จึงค่อนข้างมีภารกิจที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา มากกว่าการเผชิญหน้ากับเรื่องไม่คาดฝันเหมือนในซีซันแรก ซึ่งชวนให้นึกถึงหนังปฏิบัติการกู้โลกได้อยู่เหมือนกันนะ

ในขณะที่ซีซันนี้ก็ยังไม่ทิ้งภารกิจแนวผจญภัยที่มีบรรยากาศของหนังสืบสวนสอบสวน และหนังแนวตำรวจผู้ร้าย โดยเฉพาะการค้นหาตัวละครหลาย ๆ ตัวที่นำเอาประวัติศาสตร์จริง ๆ ในอดีตมาตีความใหม่แบบเดียวกับในซีซันแรก แต่เล่นใหญ่กว่านั้น ซึ่งหนึ่งในตัวละครที่พวกเขาต้องค้นหาที่มาและความเชื่อมโยงก็คือ วิกเตอร์ ไทม์ลี ที่ว่ากันว่าเป็น He Who Remains จากในศตวรรษที่ 18 (?) ในขณะที่โลกิและมอร์เบียส ก็ยังต้องค้นหาเบาะแสที่จะเฉลยและเปิดโปงที่มา ย้อนหาจุดกำเนิดและการมีอยู่ของ TVA ไปด้วยในเวลาเดียวกัน ซึ่งยังคงความเข้มข้น เต็มไปด้วยสถานการณ์ สถานที่ ตัวละคร พฤติกรรม ฯลฯ ที่น่าตื่นเต้นและน่าสนใจใคร่รู้ไม่แพ้ซีซันแรก

ตัวหนังยังคงเอาไว้ด้วยบรรยากาศที่ครบรสทั้งการผจญภัย แอ็กชัน คอมมีดี้ จะขาดก็ความโรแมนติก (ของโลกิ+ซิลวี) ที่อาจจะเหลือพื้นที่น้อยหน่อย เพราะต้องให้น้ำหนักในเรื่องของ Conflict และ Pace ที่ซีเรียสคอขาดบาดตายมากขึ้นกว่าซีซันแรก รวมทั้งความซับซ้อนในการเล่าเรื่องการข้ามเวลา ที่แอบเป็นข้อสังเกตเล็ก ๆ น้อย ๆ ตรงที่อาจจะต้องใช้พลังในการสังเกตและตั้งใจดู หรือไม่ก็อาจจะต้องดูซ้ำ แต่อย่างไรก็ตาม ซึรีส์เรื่องนี้ก็ยังเล่าคอนเซปต์เล่าเรื่องจักรวาลคู่ขนาน และการข้ามเวลา และการวนลูปของเวลา ผ่านการตัดต่อและมุมกล้องในแบบของตัวเองได้แปลกตาและดูง่ายมาก ในยุคที่การเล่าคอนเซปต์แนว ๆ นี้ ในหนังหรือซีรีส์ไซไฟที่อาจจะไม่ได้มีกลเม็ดที่แปลกใหม่แล้วในยุคนี้

ซีซันนี้ก็ยังคงตั้งคำถามปรัชญาลึก ๆ กับสิ่งที่เรียกว่า เจตจำนงเสรี (Free Will) ว่าจริง ๆ แล้วการที่เราทำ/ไม่ทำสิ่งใด เป็นสิ่งที่เราเลือกเองหรือมี ‘พระเจ้า’ จัดสรรให้กันแน่ และสิ่งที่ถือเป็นประเด็นในซีซันนี้ก็คือ ความขัดแย้งระหว่างแนวคิดของการพิทักษ์ TVA และเส้นเวลาศักดิ์สิทธิ์เอาไว้เพื่อให้สรรพชีวิตทั้งมวลได้มีชีวิตอยู่ต่อไป (แต่ต้องถูก TVA ควบคุม ใครทำ Nexus โดนกองทัพ Minutemen ไล่กระซวก) กับการปล่อยให้เส้นเวลาศักดิ์สิทธิ์ล่มสลาย TVA ถูกทำลาย เกิดเส้นเวลาแตกแขนงเป็นอิสระไร้การควบคุม ซึ่งก็อาจจะเสี่ยงต่อการเกิดสงครามระหว่างพหุจักรวาล (Multiversal War) จนเส้นเวลาทั้งหมดล่มสลาย ไม่ว่าจะเลือกเองด้วยเจตจำนงเสรี หรือมีใครบงการ โลกิและ TVA ก็ต้องเลือกชะตากรรมเหล่านี้เองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

พูดถึงนักแสดง แน่นอนว่า พี่ทอม ฮิดเดิลสตัน ก็ยังคงรับบทเป็นโลกิได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีเสน่ห์ดึงดูดสายตาด้วยบทบาทและการแสดงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยังคงเป็นโลกิในแบบที่หลายคนรักได้ไม่มีที่ติ เป็นแอนตี้ฮีโรที่มีพัฒนาการที่เข้มข้นและจริงจังขึ้นในอีกระดับ โซเฟีย ดิ มาร์ติโน ก็ยังรับบทเป็นซิลวี ตัวแปรจอมขบถของโลกิได้มีเสน่ห์ และมีมิติที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

ส่วน โอเวน วิลสัน ก็ยังรับบทมอร์เบียสได้อย่างน่าสนใจ ใน 4 ตอนแรกเรื่องราวอาจจะไม่ได้โฟกัสที่ตัวเขามากนัก ต้องลองดูว่า เรื่องราวที่เหลืออีก 2 Ep. จะมีเรื่องราวของเขาบ้างไหม อีกคนที่ไม่พูดไม่ได้ก็คือ โอโรโบรอส ที่รับบทโดย คีฮุยควน เจ้าของรางวัลออสการ์นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ที่ลีลาและเสน่ห์ของเขาคงไม่ต้องพูดให้มากความ นอกจากนี้เราจะได้เห็น Miss Minutes มีบทบาทมากขึ้นด้วยครับ ถ้ายัยนาฬิกานี่จะโดนคนดูหมั่นไส้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

นี่คือซีรีส์ที่สามารถใช้คำว่าสมกับการรอคอยได้เลยครับ และกล้าบอกได้เลยว่านี่คือ ‘ภัยพิบัติระดับมัลติเวิร์ส’ แบบของแทร่ แทร่แบบเห็นกันจะ ๆ ไม่มีกั๊ก แบบที่รู้สึกได้เลยว่าภัยพิบัตินี้จะส่งผลกระทบไปยังไตเติลอื่น ๆ ใน MCU หลังจากนี้อย่างแน่นอน หลังจากที่ปล่อยให้หนังเรื่องอื่น ๆ ของ MCU ชิมลางภัยพิบัติมัลติเวิร์สแบบผิว ๆ เสียตั้งนาน อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เนื้อหายังไม่จบ ก็เลยอาจจะยังมีพล็อตบางจุดที่เป็นช่องโหว่ที่ต้องได้รับการอธิบายเหตุผลที่มาที่ไปอยู่บ้าง

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็ได้แต่หวังว่า ซีรีส์เรื่องนี้จะเป็นตัวแบก ตัวกอบกู้วิกฤติศรัทธาให้กับ MCU ได้จริง ๆ สักทีนะ หลังจากที่ซีรีส์เรื่องก่อนหน้ามีอาการขาด ๆ เกิน ๆ ในด้านบทและงานสร้างมาโดยตลอด อย่างน้อย ๆ นี่จะเป็นซีรีส์ที่ผู้เขียนเชื่อว่าจะต้องมีคนดูซ้ำมากกว่า 1 รอบแน่นอน เพราะแม้ซีรีส์จะเล่าแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร็วไม่เนือย แต่เชื่อว่ามันยังมีกิมมิก มีจุดสังเกตให้ถกเถียงได้อีกเยอะ และ 2 Ep. ที่เหลือ ก็น่ามีจุดพลิกผันอะไรที่คาดไม่ถึงมากกว่านี้รออยู่อีกอย่างแน่นอน