ฮาแวร์ทซ์ฮีโร่! “เชลซี” เฉือนเอาชนะเรือใบ “แมนฯซิตี้” 1-0 แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ

เกมการแข่งขัน ระหว่างทีมเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (อังกฤษ) กับทีมสิงโตน้ำเงินคราม เชลซี (อังกฤษ) ในศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ โดยเล่นกันที่สนาม เอสตาดิโอ โด ดราเกา, ปอร์โต้ (สนามกลาง)

เกมนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มาเล่นในระบบ 4-3-3 แผนถนัด นำทีมโดย อิลคาย กุนโดกัน กองกลางห้องเครื่องทีมชาติเยอรมัน เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมกเกอร์ตัวทำเกมทีมชาติเบลเยี่ยม และ ราฮีม สเตอร์ลิง ปีกกึ่งกองหน้าตัวจี๊ดทีมชาติอังกฤษ

ขณะที่ทางฝั่งทีม เชลซี ภายใต้การคุมทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล มาเล่นในระบบ 3-4-2-1 แผนถนัด นำทีมโดย เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มิดฟิลด์จอมขยันทีมชาติฝรั่งเศส เมสัน เมาน์ท มิดฟิลด์ตัวสร้างสรรค์เกมทีมชาติอังกฤษ และ ติโม แวร์เนอร์ ศูนย์หน้าความเร็วสูงทีมชาติเยอรมัน

นาที 3

เริ่มเกมมาแปปเดียว เป็นทางฝั่ง เชลซี ที่ได้ทักทายก่อน เป็นจังหวะสาดบอลยาวทิ้งขึ้นหน้า แล้วเป็น ติโม แวร์เนอร์ สปีดตามไปเอาบอลไว้ได้ทันที่สุดเส้นหลังฝั่งขวา ก่อนตบย้อนเข้าไปในเขตโทษฝั่งขวาให้ ไค ฮาแวร์ทซ์ ได้แตะบอลหนีกองหลัง เข้าไปล้มตัวยิงด้วยขวาที่เสาแรกทันที แต่บอลแฉลบบล็อก รูเบน ดิอาส ที่ตามมาสไลด์ขวาง ลอยเข้ามือ เอแดร์ซอน โมราเอส ผู้รักษาประตูแมนเชสเตอร์ ซิตี้ รับไว้ได้สบาย

นาที 8

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ น่าจะได้ประตูขึ้นนำสุด ๆ เป็นจังหวะ เอแดร์ซอน โมราเอส ผู้รักษาประตูแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดันสูงขึ้นมาสาดบอลยาวขึ้นหน้า ไปที่ในเขตโทษของเชลซี แล้วเป็น ราฮีม สเตอร์ลิง วิ่งสอดตัดหลัง รีซ เจมส์ หลุดไปเกี่ยวบอลลงหลุดเดี่ยวที่หน้าประตู แต่เจ้าตัวตัดสินใจไม่ดี พยายามจะแตะหนี เอดูอาร์ เมนดี้ ผู้รักษาประตูเชลซี แต่ไม่หลง สุดท้ายไม่มีมุมยิง ตอกส้นมุมแคบที่เสาซ้ายมือ โดนปัดออกหลังไปได้ทัน

นาที 10

เชลซี สวนกลับขึ้นมาเกือบจะได้ประตูเหมือนกัน เป็นจังหวะ ไค ฮาแวร์ทซ์ พลิ้วพาบอลขึ้นมาเอง ก่อนจะกระชากหนีผู้เล่นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลุดไปถึงสุดเส้นหลังฝั่งซ้าย แล้วปาดเลียดไปที่กลางประตูให้ ติโม แวร์เนอร์ ได้วิ่งมายิงด้วยซ้ายโล่ง ๆ แต่หวดแปก ไปติดเท้าขวาตัวเอง ทำหมูหก พลาดโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดายสุด ๆ

นาที 13

เชลซี ได้โอกาสทองอีกครั้ง เป็นจังหวะ เมสัน เมาน์ท โชว์ความพลิ้ว กระชากบอลเข้าไปในเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนจะปาดเลียดมาตรงกลางประตูให้ ติโม แวร์เนอร์ ได้จับบอลห่างตัวแล้วตามมายิงได้ทัน แต่ก็ยังไปติดเซฟของ เอแดร์ซอน โมราเอส ผู้รักษาประตูแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ยังยืนตำแหน่งได้ดี รับได้ทัน แล้วหลังจากนั้นมีอีกจังหวะที่ ศูนย์หน้าฟอร์มตกชาวเยอรมัน ได้ยิงอีกครั้ง บอลก็เข้าหน้าต่างออกหลังไปอีก

นาที 27

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกขึ้นมาทางกราบซ้าย เควิน เดอ บรอยน์ กระชากพาบอลหนีผู้เล่นเชลซี หลุดขึ้นมาถึงกรอบเขตโทษด้านซ้าย ก่อนจะปาดเลียดไปลุ้นที่กลางประตูให้ ฟิล โฟเด้น ได้จับบอลแล้วดีดเร็วด้วยซ้ายทันที แต่ต้องชม อันโตนิโอ รือดิเกอร์ พุ่งมาสไลด์ขวางไว้ได้ทันเฉียดฉิว ก่อนที่บอลจะลอยไปเข้าทาง เอดูอาร์ เมนดี้ ผู้รักษาประตูเชลซี รับสบาย

นาที 29

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ จังหวะนี้ ไคล์ วอล์คเกอร์ กระชากหลุดขึ้นมาทางขวาได้สวยถึงสุดเส้นหลัง ก่อนจะปาดเลียดเข้าไปที่กลางประตู แล้วเป็น ริยาด มาห์เรซ ได้โฉบมาสไลด์ตัวชาร์จจ่อ ๆ ที่เสาไกล แต่ถึงบอลช้าไปนิดเดียว บอลหลุดออกหลังไป อย่างได้หวาดเสียวสุด ๆ

นาที 37

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกขึ้นมาทางขวา ริยาด มาห์เรซ ติดเครื่องลากจี้เข้าเขตโทษ เลี้ยงตัดเข้าในตามสูตร ก่อนจะง้างเท้าหลอกว่าจะปั่นด้วยซ้าย แต่ล็อกมาซัดด้วยขวาเน้น ๆ ยัดไปที่เสาแรกแทน แต่ก็ไปที่เซฟของ เอดูอาร์ เมนดี้ ผู้รักษาประตูเชลซี ที่ยืนคุมเสาไว้อยู่แล้ว คว้าไว้ได้ทัน อย่างไม่ยากเย็น

นาที 38

เชลซี มีปัญหาใหญ่ให้แก้ตั้งแต่ครึ่งแรก เมื่อ ติอาโก้ ซิลวา กองหลังตัวเก๋า บาดเจ็บเล่นต่อไม่ไหว ส่งสัญญาณขอเปลี่ยนตัวออก โดย โธมัส ทูเคิ่ล ได้ส่ง อันเดรส คริสเตนเซ่น ลงมาเล่นแทนในตำแหน่งเดียวกัน

นาที 42 GOAL!!!

เชลซี ได้ประตูขึ้นนำเป็น 1-0 !!! เป็นจังหวะเริ่มจาก เอดูอาร์ เมนดี้ ผู้รักษาประตูเชลซี เตะโด่งสาดบอลยาวทิ้งขึ้นหน้ามา เบน ชิลเวลล์ เก็บบอลได้ ก่อนจะป้ายเข้ากลางมาให้ เมสัน เมาน์ท ได้แทงบอลทะลุช่องคิลเลอร์พาสให้ ไค ฮาแวร์ทซ์ ได้หลุดเดี่ยวลากหนี เอแดร์ซอน โมราเอส ผู้รักษาประตูแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แล้วซัดโล่ง ๆ ด้วยซ้าย เข้าประตูไปอย่างสวยงาม

หมดเวลาครึ่งแรก ทั้งสองทีมเปิดเกมรุก บุกเข้าใส่กันอย่างสนุก การครองบอลเป็นทางฝั่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เหนือกว่าตามสไตล์ แต่ทางฝั่ง เชลซี ก็ตั้งรับได้เหนียวแน่น แล้วสวนกลับได้ดูน่ากลัวกว่าพอสมควร สุดท้ายก็เป็น เชลซี ที่เฉียบคมกว่า ยิงออกนำไปแล้วด้วยสกอร์ 1-0 !!!

นาที 55

เริ่มเกมครึ่งหลังมาได้แปปเดียว เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือเรือใบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึงต้องกุมขมับ เมื่อทีมต้องมาเสียผู้เล่นคนสำคัญสุด ๆ ไปอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ จากจังหวะการปะทะกันตรงกลางสนาม โดยชนกับ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ล้มลงไปเจ็บทั้งคู่ แต่ เดอ บรอยน์ ถึงกับตาปิดไปข้างนึง เดินร้องไห้เปลี่ยนตัวออกจากสนามไป แล้วส่ง กาเบรียล เชซุส ลงมาเล่นแทน

นาที 60

มีจังหวะดราม่าของเกมเกิดขึ้น เมื่อ ราฮีม สเตอร์ลิง ได้มีโอกาสซัดบอลสวนเข้าไปในเขตโทษ แล้วบอลดูเหมือนไปโดนหน้าอกของ รีซ เจมส์ แฉลบต่อไปโดนแขน ผู้เล่นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เข้ามาโวยวายรุมผู้ตัดสินกันยกใหญ่ แต่ อันโตนิโอ มาเตว ลาออซ ผู้ตัดสินจากสเปน ก็ใจแข็งเหลือเกิน ให้เล่นต่อไป ไม่ว่าอะไร ซ้ำยังไม่เช็ค VAR อีกด้วย

นาที 69

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกหนักขึ้นมาตรงกลาง ฟิล โฟเด้น ลากบอลแหวกหนีผู้เล่นเชลซีมาได้สวย หลุดมาถึงหน้ากรอบเขตโทษ ก่อนจะไหลไปทางขวาของกรอบเขตโทษให้ ไคล์ วอล์เกอร์ ที่ยืนกางมุ้งรอเปิดอยู่ ได้บรรจงครอสบอลเลียดทะลุเลยไปที่เสาไกลให้ กาเบรียล เชซุส กำลังจะได้ซัดเหน่ง ๆ อยู่แล้ว แต่เป็น เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ที่ตามมาเตะทิ้งไว้ได้ทันเส้นยาแดงผ่าแปด

นาที 73

เชลซี น่าจะได้ประตูหนีห่างแบบสุด ๆ เป็นจังหวะเริ่มจากความยอดเยี่ยมของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่ตัดบอลได้สวยตรงกลางสนาม ก่อนที่จะจ่ายให้ ไค ฮาแวร์ทซ์ ได้กระชากพาบอลขึ้นมาเองถึงหน้าเขตโทษ แล้วไหลให้ คริสเตียน พูลิซิช ที่วิ่งตามสอดขึ้นมา ได้หลุดเข้าไปรับบอลในเขตโทษฝั่งขวา ก่อนจะพยายามตวัดบอลด้วยขวาหนีมือ เอแดร์ซอน โมราเอส ผู้รักษาประตูแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปที่เสาไกลฝั่งซ้าย แต่บอลก็ยังเฉียดเสาออกไป น่าเสียดายสุด ๆ

นาที 76

เกมรุก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ วันนี้โดนทางฝั่งเชลซี ดักทางไว้ได้หมด แถมต้องมาเสียตัวทำเกมอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ ออกไปอีก ช่วงท้ายเกม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เริ่มทนไม่ไหว ส่ง เซร์คิโอ กุน อเกวโร่ ดาวยิงทีมชาติอาร์เจนตินา ที่มีสถิติยิงเชลซีได้ตลอด ลงสนามมาแทน ราฮีม สเตอร์ลิง ที่เล่นไม่ออก และนัดนี้เป็นนัดสุดท้ายของ เอลกุน กับสโมสรแห่งนี้อีกด้วย

นาที 82

เชลซี ได้ฟรีคิกทางกราบซ้าย โยนบอลโด่งเข้าเขตโทษโดนโหม่งสกัดออกมาได้ บอลลอยมาออกมาที่หน้าเขตโทษเข้าทาง จอร์จินโญ่ ได้วิ่งมายิงสวนด้วยขวาไม่จับ บอลพุ่งแรงมากแต่ทิศทางยังใช้ไม่ได้ หลุดกรอบออกไปไกล แบบไม่มีลุ้นเลย

นาที 90

โอกาสเฮือกสุดท้ายของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จังหวะนี้ อเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ เติมสูงขึ้นมาทางกราบซ้าย ก่อนจะตั้งป้อมบรรจงเปิดบอลโด่งโค้งไปที่เสาไกลให้ ไคล์ วอล์คเกอร์ ที่ดันสูงหุบเข้าใน มาเกี่ยวบอลลงได้ที่สุดเส้นหลังในเขตโทษฝั่งขวา แล้วเปิดยัดเข้ากลางมาให้ ฟิล โฟเด้น ได้วิ่งมายิงด้วยขวา แต่ก็ยังติดบล็อกของ อันเดรส คริสเตนเซ่น กระดอนออกมาอยู่ดี

หมดเวลาการแข่งขัน เป็นทีมสิงโตน้ำเงินคราม เชลซี เฉือนเอาชนะทีมเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปได้ด้วยสกอร์ 1-0 !!! คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ และเป็นแชมป์รายการนี้สมัยที่ 2 ของสโมสรอีกด้วย โดยจุดเปลี่ยนและไฮไลท์สำคัญของเกมนี้อย่างแท้จริง ก็คือจังหวะที่ เควิน เดอ บรอยน์ เดินตาปูดร้องไห้ออกจากสนามไปอีกด้วย