[เปิด Netflix มารีวิว] Purple Heart แต่งงานกำมะลอเพราะอยากได้เงินอุดหนุนจากภาครัฐ!

[เปิด Netflix มารีวิว] Purple Heart แต่งงานกำมะลอเพราะอยากได้เงินอุดหนุนจากภาครัฐ!

หนังรักโรแมนติกกลิ่นอายน้ำเน่าโชยหึ่งตั้งแต่โปสเตอร์ ที่ว่าด้วยสาวนักดนตรีกับนายทหารที่กำลังต้องเดินทางไปรบ ณ ประเทศอิรัก จะดราม่าน้ำตาท่วม หรือชวนคนดูหวานเลี่ยนกันแน่นะ

แคสซี่ สาวเสิร์ฟสุดมั่นที่ทำงานในร้านอาหารนั่งชิลล์ เธอใฝ่ฝันที่จะกลายเป็นนักร้องมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง แต่ด้วยสภาพการเงินที่ฝืดเคือง ยังไม่รวมไปถึงอาการป่วยเป็นเบาหวานของตัวเองที่ทำให้เธอจำเป็นต้องเจียดรายได้ คอยซื้ออินซูลินมาฉีดเพื่อประคองอาการให้ทรงตัว ในขณะที่ลุค หนุ่มหล่อใจแตกที่จำเป็นต้องเข้ารับราชการทหารเพียงเพื่อหวังจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นคนที่ดีขึ้น และหนีเจ้าหนี้ที่ตามทวงเงินอย่างไม่ลดละ

แคสซี (โซเฟีย คาร์สัน) และลุค (นิโคลัส กาลิตซีน) พบกันในบาร์ที่เธอทำงาน แต่แทนที่จะกลายเป็นความประทับใจครั้งแรก ทัศนคติทั้งสองกลับไม่ลงรอยกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อทางฝั่งแคสซี่เป็นสาวลิเบอร์รัลสุดลิ่มทิ่มประตู ในขณะที่ลุคก็ยังโอลด์สคูล ปากหมายึดถือในระบอบปิตาธิปไตยผู้ชายเป็นใหญ่จะหลีหญิงยังไงก็ได้ เมื่อสองขั้วตรงข้ามมาปะทะกัน ทำให้ทั้งคู่กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากันอยู่ตลอดเวลา

จนกระทั่งวันหนึ่งทั้งสองกลับได้เปิดใจคุยกันและพบว่า ถ้าหากทั้งคู่แต่งงานกันเป็นการเฉพาะกิจ พวกเขาจะได้รับสวัสดิการจากกองทัพในฐานะคู่สมรส แคสซีจะได้รับเงินในการนำมารักษาตัว ในขณะที่ลุคเองก็จะมีเงินมาใช้หนี้เช่นกัน

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

Olivia Wilde จำใจตัด Shia LaBeouf จากหนังที่เธอกำกับ เพราะเขามีความหื่นกระหายโปรดิวเซอร์ Top Gun คิดว่าหนังประสบความสำเร็จสูงได้ เป็นเพราะมันสมจริงกว่าหนังฮีโร่รีวิว Bullet Train เพราะความซวยอยู่รอบตัวเรา

จะว่าไปหนังเรื่องนี้ก็คงสถานะตัวละครประเภทไม่ชอบขี้หน้ากันตอนแรก แต่มารักกันในตอนท้าย ที่สุดท้ายก็พัฒนาจนกลายเป็นความรักในตอนท้ายแบบไม่ต้องคาดเดา สิ่งที่น่าสนใจคือพัฒนาการของตัวละครแต่ละตัว ที่ยอมละลายพฤติกรรมของตัวเองเพื่อฝ่ายตรงข้าม จะว่าไปเราอาจจะได้ดูหนังในทิศทางเดียวกันในแบบที่ดีกว่า ก็คือ A Star is born (เวอร์ชั่นเลดี้กาก้า แต่อันนั้นคู่พระนางไม่ได้ เป็นคู่กัดกันนะ เพียงแต่โทนเรื่องและโครงสร้างมีความคล้ายคลึงกันพอสมควร)

ข้อดีคือ Purple Hearts แคสติ้งนักแสดงมาตรงกับคาแรกเตอร์ พวกเขาสวมบทบาทเป็นตัวละครได้อย่างลงตัว แม้ว่าประเด็นดราม่าเกี่ยวกับเรื่อง “ทหารอเมริกาผู้เสียสละ” จะเป็นพล็อตน้ำเน่าที่ตัวเราเองก็เอียนจนแทบอ้วก (เพราะส่วนตัวไม่เคยอินไปกับวาทกรรมสละชีพเพื่อชาติมานานแล้ว) แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยความพอเหมาะพอเจาะ ที่จะไม่ขยี้ประเด็นดังกล่าวจนหนักมือ ทำให้เราดูหนังเรื่องนี้จนจบได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ (แม้ว่าจะใช้เวลาหลายวันในการดูก็ตาม)

หากคุณเป็นแฟนหนังโรแมนติก Purple Heart ก็พอดูได้ ไม่ได้น่ามองข้ามแต่อย่างใด