Hearts Beat Loud หนังชีวิตเบาสมองอีกเรื่องที่จัดว่าเข้าทางผมเลยครับ ชอบนักล่ะหนังที่บอกเล่าเรื่องราวช่วงหนึ่งของชีวิตใครสักคนแบบนี้เนี่ย
แฟรงค์ ฟิชเชอร์ (Nick Offerman) เจ้าของร้านขายแผ่นเสียงเรด ฮุค เรคคอร์ดส ที่นับวันกิจการก็มีแต่จะเงียบลงเรื่อยๆ จนแฟรงค์ตระหนักว่าเขาคงต้องปิดร้านแล้วเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นแทน
อยู่มาวันหนึ่งแฟรงค์กับแซม (Kiersey Clemons) ลูกสาวของเขาก็ร่วมกันเล่นเพลงที่แซมแต่งขึ้น ชื่อเพลงคือ Hearts Beat Loud ตอนแรกก็ร้องกันประสาพ่อลูกแบบไม่ได้คิดอะไร ทีนี้แฟรงค์ก็คิดว่าเพลงเพราะดีเลยอยากนำเอาเพลงนี้ไปเผยแพร่ให้คนได้ฟัง เขาเลยอัพลง Spotify แล้วเพลงก็ได้รับความสนใจขึ้นมาครับ
ผมเล่าประมาณนี้ก่อน เรื่องราวที่เหลือไปรับชมกันต่อนะครับ
หนังน่ารักกำลังเหมาะครับ หลักๆ ก็คือเรื่องพ่อๆ ลูกๆ ที่กำลังจะต้องห่างไกลกันเพราะแซมกำลังจะไปเรียนต่อที่อื่น ส่วนแฟรงค์ก็กำลังจะปิดร้าน แล้วก็หาอาชีพใหม่ทำ เรียกว่าพวกเขากำลังอยู่บนทางแยกของชีวิตครับ และเพลง Hearts Beat Loud นี้ก็เป็นเหมือนกิจกรรมส่งท้ายที่พ่อลูกจะได้ทำร่วมกันแบบเต็มๆ ก่อนที่พวกเขาจะต้องแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตต่อตามทางของตน
ผมชอบหนังแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรครับ อาจเป็นเพราะผมชอบสังเกตความเป็นไปของชีวิตคนกระมังครับ การได้รับรู้เรื่องเหล่านี้สำหรับผมมันก็เหมือนนิทานสักเรื่อง เรื่องสั้นสักชิ้น มันมักจะมีความเข้มข้นทางอารมณ์ความรู้สึกผสมอยู่ ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่ดูมีเสน่ห์และชวนค้นหา ใจมันใคร่รู้น่ะครับว่า ณ บางโมเมนต์ของชีวิตคน เขาจะรู้สึกอย่างไร และเขาจะก้าวต่อไปอย่างไรเมื่อชีวิตมาถึงจุดเปลี่ยน – ส่วนหนึ่งก็อาจเพราะตัวผมเองก็เจอจุดเปลี่ยนมาเยอะ เลยพลอยมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องราวเหล่านี้ได้ง่าย
และทีสำคัญคือ ชีวิตของพวกเขานั้นอาจมาพร้อมบทเรียนดีๆ ที่เราสามารถเก็บไปปรับใช้ หรือใช้เตือนตัวเองได้ในสักวันหนึ่ง
แน่นอนว่าหนังแบบนี้ คนทำก็ต้องฝีมือดีด้วยล่ะครับ หนังถึงจะได้อารมณ์ และเรื่องนี้ก็ถือว่าทำได้ดีทีเดียว ผู้กำกับคือ Brett Haley ที่ทำท่าว่าจะถนัดทำหนังแนวนี้ ไม่ว่าจะเรื่อง The New Year, I’ll See You in My Dreams, The Hero รวมถึงเรื่องนี้ที่ทำได้ดี จน Netflix ตามตัวไปทำ All the Bright Places และ All Together Now แต่ละเรื่องที่ผมเอ่ยชื่อไปนั้นมีดีมากน้อยต่างกันไป แต่มันก็ล้วนน่าสนใจครับ โดยเฉพาะคนที่ชอบหนังแนวนี้ ผมเชื่อว่าหนังเหล่านี้จะสามารถตอบโจทย์ให้ท่านได้ แต่จะอิ่มหรือไม่อันนี้ก็ว่ากันอีกที
ผมชอบโทนของเรื่องครับ โทนมันออกมาง่ายๆ บ้านๆ ติดดิน ดูแล้วใจมันสัมผัสได้ มันรู้สึกได้ว่าเรื่องแบบนี้อาจเคยเกิดขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่งในโลก และมันรู้สึกดีที่เราได้รับรู้เรื่องราวของพวกเขา ได้ยิ้มไปกับพวกเขา ได้น้ำตาซึมไปกับพวกเขา หรือได้อิ่มใจยามพวกเขาได้รับสิ่งดีๆ
Offerman น่ารักมากครับ เขาดูเป็นพ่อที่น่ารัก และดูเป็นนักเพลงที่เท่ห์ จริงๆ เขาเล่นเรื่องไหนก็เล่นดีทุกทีน่ะครับ บางเรื่องพี่ท่านต้องกวนหน้าตาย บางเรื่องก็น่าหมั่นไส้ แต่กับเรื่องนี้เราจะไม่มีทางหมั่นไส้เขาเลยครับ เขาดูสุภาพ ตรงไปตรงมา เป็นพ่อที่รักลูก เป็นลูกที่รักแม่ ยิ่งตอนท้ายที่เขาอยู่ในร้านคืนสุดท้ายก่อนปิดตัวนั่น ยิ่งน่ารักจนเราอดไม่ได้ที่จะแอบเห็นใจเขาอยู่เหมือนกัน
คำว่า Everything Must Go ที่ติดอยู่ทั่วร้านในคืนปิดร้านนั้น ยิ่งเสริมความรู้สึกเห็นใจมากขึ้นไปอีกครับ – แต่ในทางหนึ่งมันก็สะท้อนความจริงของชีวิตน่ะครับ ทุกอย่างมีจุดเริ่มก็ต้องเจอจุดจบ มีพบก็ต้องมีจาก มันคือเรื่องจริง
Clemons ก็ถือว่าแสดงได้ดีในบทแซม ที่บทอาจไม่เยอะ แต่ที่แน่ๆ คือเสียงของเธอนั้นดีจริงครับ เพลงทั้งหลายในหนังเธอก็ร้องเอง ใช้เสียงจริง และร้องดีจนทำให้เชื่อน่ะครับว่าเพลงนี้หากใครได้ยินก็ต้องหันมาฟังแน่นอน
นอกจากนี้ก็ยังมี Toni Collette ในบทเลสลี่ เจ้าของอาคารที่แฟรงค์เช่าทำร้านแผ่นเสียง, Blythe Danner ในบทมารีน แม่ของแฟรงค์, Sasha Lane ในบทโรส คนรักของแซม และ Ted Danson ในบทเจ้าของบาร์ที่แฟรงค์ชอบไปแฮงค์เอ้าท์อยู่ประจำ แต่ละคนมีบทกันคนละไม่เยอะ แต่ก็ช่วยเสริมความน่าสนใจให้กับเรื่องราวได้อย่างดีครับ
อีกคนที่ไม่ชมไม่ได้เลยคือ Keegan DeWitt ที่นอกจากจะเป็นคอมโพเซอร์แต่งดนตรีให้กับหนังแล้ว แต่ละเพลงที่เราได้ยินจากปากของ 2 พ่อลูกนั้นเขาล้วนแต่งขึ้นทั้งสิ้นครับ ซึ่งบอกได้เลยว่าเพราะทุกเพลง ทั้ง Hearts Beat Loud, Shut Your Eyes, Everything Must Go และ Blink (One Million Miles) ทุกนี่ฟังแล้วตกหลุมรักเลยครับ ทำนองดี เนื้อเพลงน่ารัก คนร้องก็ร้องแบบทุ่มอารมณ์ใส่ลงไป ชอบจริงอะไรจริงครับ
และประโยคที่ผมชอบในหนังก็คือ “บางครั้งเมื่อเจอปัญหา ก็ลองเปลี่ยนมันเป็นศิลปะซะ” ถือเป็นการออกจากปัญหาที่สร้างสรรค์และน่านำไปใช้ครับ
ผมชอบฉากตอนท้ายมากครับ เมื่อร้านจะต้องปิดตัวลง 2 พ่อลูกก็แสดงคอนเสิร์ตเล็กๆ ในร้าน ผมชอบที่ตอนแรกที่พวกเขาจะเริ่มเล่น คนที่อยู่ในร้านส่วนใหญ่ไม่มีใครสนใจพวกเขาเลย เอาแต่ตั้งหน้าเลือกแผ่นเสียงลดราคกันไป แต่พอพวกเขาเล่นไปเพลงแล้วเพลงเล่า คนก็เริ่มหันมาสนใจมากขึ้น มันดูน่าเชื่อครับเพราะเพลงของพวกเขามันดีจริงๆ น่ะ ใครได้ยินก็ต้องชอบ ใครได้ยินก็ต้องสนใจ มันเป็นอะไรที่ชวนประทับใจดีครับ – อีกอย่าง ผมชอบชื่อวงของพวกเขาด้วยครับ We’re Not a Band เข้าใจคิดจริงๆ
สรุปว่าผมชอบครับ ใครชอบหนังแนวดราม่าช่วงหนึ่งของชีวิตคน ที่มีเพลงดีๆ ประกอบเรื่องราว ผมว่าท่านต้องโอเคกับหนังเรื่องนี้ไม่มากก็น้อยครับ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)