Hellraiser: Judgment (2018), บิดเปิดผี 10

Untitled08527

แล้วเราก็มาถึงภาคที่ 10 ของหนังชุดนี้ครับ กับ Hellraiser: Judgment ซึ่งเหตุผลในการสร้างภาคนี้ก็เหมือนกับภาคก่อน คือต้องสร้างเพื่อต่อเวลาไม่ให้ลิขสิทธิ์ของหนังชุดนี้ที่ค่าย Dimension ซื้อมาต้องขาดลง

แม้จะเป็นการสร้างเพื่อต่อเวลา แต่อย่างน้อยหนังก็เข้าท่ากว่าภาคก่อนครับ เหตุผลหนึ่งก็เพราะคนทำหนังภาคนี้มาพร้อมความตั้งใจที่ถือว่ามากพอสมควร เขาคือ Gary J. Tunnicliffe ผู้ที่ถือว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของหนังชุดนี้

Tunnicliffe นั้นเกี่ยวข้องกับการสร้างหนังชุด Hellraiser ตั้งแต่ภาค 3 ครับ เขาทำหน้าที่เป็นหนึ่งในทีมเมคอัพเอฟเฟคท์ และเขายังเป็นคนเขียนบท Hellraiser: Revelations (ภาค 9) ซึ่งตอนแรกเขาตั้งใจจะกำกับด้วยครับ แต่เนื่องจากตอนนั้นเขาติดงานทำเมคอัพเอฟเฟคท์ให้หนัง Scream 4 ทำให้เขาพลาดโอกาสไป

แล้ว Hell ภาค 9 ก็กลายเป็นภาคที่คนก่นด่ากันมากที่สุดครับ ทำให้ Tunnicliffe อยากแก้มือโดยการเดินเข้าไปเจรจากับค่าย Dimension เพื่อทำ Hell ภาคใหม่ตามวิสัยทัศน์ของเขา แต่เนื่องจากตอนนั้นภาค 9 เพิ่งสร้างออกไปหมาดๆ ทำให้ค่าย Dimension ยังไม่สนใจจะทำ Hell ภาคต่อในเวลานั้น

Tunnicliffe เลยมีแผนจะทำ Hellraiser แบบภาคแยก เป็นภาค Standaone ที่จะไม่มีตัวละครอย่างพินเฮด และมีการตีความเรื่องราวในแบบใหม่ แต่เนื่องจากเขาไม่สามารถหาคนมาสนับสนุนออกทุนให้ โครงการเลยค้างเติ่งอยู่บนหิ้ง

แล้วเวลาก็ผ่านไป 5 ปีครับ เมื่อถึงคราวที่ค่าย Dimension ต้องรีบทำ Hellraiser ออกมาเพื่อต่อเวลาลิขสิทธิ์อีกครั้ง ค่ายเลยติดต่อไปที่ Tunnicliffe ซึ่งเขาก็พร้อมอยู่แล้วล่ะครับ เขาเขียนบท Hell ภาคใหม่นี้ส่งไปที่ค่ายถึง 3 ครั้งกว่าทางค่ายจะเห็นชอบ แล้วผลก็ออกมาเป็นหนังเรื่องนี้ครับ

Untitled08528

Hellraiser: Judgment เป็นภาคที่พยายามอัพเดตหนังชุดนี้ให้มีความแปลกใหม่ทันสมัยขึ้น คือแทนที่จะให้พินเฮดออกมาทรมานคนแบบเดิมๆ หนังกลับมาพร้อมแนวคิดใหม่ว่า เพราะโลกเปลี่ยนไป ไม่มีใครมานั่งเปิดกล่องบิดเปิดผีเหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว ดังนั้นเพื่อให้พี่พินเฮดกับเหล่าซีโนไบท์มีวิญญาณมาทรมานต่อไป ก็เลยต้องเปลี่ยนวิธีการโดยการล่อหลอกให้คนบาปเดินมาหาพวกเขา แล้วจากนั้นซีโนไบท์ที่มีชื่อว่า เดอะ ออดิเตอร์ (Tunnicliffe รับบทนี้เองเลยครับ) ก็จะทำหน้าที่เหมือนผู้พิพากษา คอยพิจารณาบาปของคนผู้นั้น ก่อนจะนำมาเข้ากระบวนการทรมานแบบโหดๆ ในลำดับถัดไป

แล้วหนังก็มีพล็อตหลักว่าด้วย ฌอน (Damon Carney) และเดวิด คาร์เตอร์ (Randy Wayne) นักสืบคู่พี่น้องที่กำลังตามล่าฆาตกรต่อเนื่องฉายาเดอะพรีเซปเตอร์อยู่ แล้วพวกเขาทั้งสองจะไปเกี่ยวข้องกับเหล่าซีโนไบต์อย่างไร ก็ติดตามหาคำตอบได้จากในหนังครับ

ภาคนี้จัดว่าเข้าท่ากว่าภาคก่อนครับ แต่ก็ยังห่างไกลจาก 3 ภาคแรก แต่ผมก็ชื่นชมในความพยายามของ Tunnicliffe นะ เขาพยายามเสกสรรปั้นไอเดียใหม่ๆ ใส่ลงไป ตัวหนังจัดว่าเป็นการเอา Hellraiser ไปผสมกับ Saw และ Seven ในแง่แนวคิดถือว่าน่าสนใจอยู่ครับ แต่ตัวหนังเองก็ถือว่ายังไม่ชวนติดตามขนาดนั้น

แต่ยอมรับครับว่าหนังดูแล้วอึดอัด มีความสยองแหวะชวนขยะแขยงผสมอยู่เยอะทีเดียว ชนิดที่ไม่ควรดูระหว่างกินข้าวน่ะครับ เพราะมีโอกาสที่มื้อนั้นจะอวสานสูงมาก แต่กระนั้นโทนหนังมันก็ไม่ได้มีบรรยากาศสยองครอบคลุมไปทั่วแบบภาคแรกๆ ที่มันจะดูสยองดิบ สยองแบบบิดเบี้ยวและให้ความรู้สึกใกล้ตัว ในขณะที่ภาคนี้มันจะออกแนวสยองแหวะตามสไตล์หนังเกรดบีน่ะครับ ให้อารมณ์เป็นหนังมากกว่าจะให้อารมณ์ดิบที่ดูแล้วชวนให้เสียวไส้ว่ามันจะเป็นจริงแบบภาคแรก – ดูแล้วหวาดผวาว่าพี่พินเฮดแกจะโผล่มาข้างหลังไหมเนี่ย – ภาคแรกมันได้อารมณ์นั้นจริงๆ

การดูภาคนี้ถ้าถามว่ารู้สึกยังไง ก็ตอบได้ว่าเรื่อยๆ ครับ ยังไงผมก็ยังโอเคกับ 3 ภาคแรกมากกว่า ภาคนี้ก็ใกล้ๆ กับภาค 6 – 8 และอย่างน้อยก็ดูเวิร์กกว่าภาค 9 ก็ยอมรับในความพยายามที่จะขยายจักรวาลของ Hellraiser ให้มีลีลาที่ต่างออกไป แต่ยังไงๆ ผมก็ยังอยากดู Hell แบบที่มันเป็น Hell น่ะครับ แบบที่มันสยองดิบ โหดเลือดกระจาย พี่พินเฮดมาพร้อมโซ่อะไรแบบนั้นน่ะ

สำหรับพินเฮดในภาคนี้ก็แสดงโดย Paul T. Taylor ซึ่งมีบทไม่เยอะครับ บารมีในเรื่องก็ยังดูไม่มาก ความขลังยังไม่เยอะ จริงๆ Tunnicliffe อยากได้พี่ Doug Bradley เจ้าของบทพินเฮดต้นฉบับกลับมาแสดงครับ แต่ Bradley ก็ปฏิเสธเพราะเขารู้สึกว่าหนังชุด Hellraiser ที่ค่าย Dimension ทำออกมานั้น ยิ่งทำคุณภาพยิ่งลด ขนาด Tunnicliffe ไปขอร้องด้วยตัวเองแต่ Bradley ก็ยังเซย์โนครับ

และภาคนี้ยังมีดาราอย่าง Heather Langenkamp เจ้าของบทแนนซี่จากหนัง นิ้วเขมือบ A Nightmare on Elm Street มาร่วมแสดง แต่จริงๆ เธอมาโผล่แบบแว้บๆ ครับ เป็นเจ้าของห้องเช่าที่พวกพี่น้องคาร์เตอร์ไปสืบคดี ชนิดที่ถ้าไม่บอกก็ไม่สังเกตนะว่าเธอร่วมแสดงด้วย

เกร็ดอีกอย่างของหนังภาคนี้คือ บ้านที่เกิดเหตุในภาคนี้คือบ้านเลขที่ 55 Ludovico Street อันเป็นที่อยู่เดียวกับบ้านใน Hellraiser ภาคแรกครับ

ยอมรับว่าความอยากดูภาคนี้ของผมมีไม่มากเท่าไรครับ จริงๆ คือออกแนวเฉยเลยล่ะ เพราะพอจะคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าหนังจะออกมาเป็นยังไง ที่เอามาดูนี่ก็เพราะอยากดูหนัง Hell ให้ครบชุดก่อนจะดูภาครีบูท ซึ่งก็สรุปความรู้สึกได้ว่า ดูแบบดูให้จบครบชุดน่ะครับ ไม่ได้รู้สึกชื่นชอบอะไร แต่ก็อย่างที่บอกว่าค่อนข้างชื่นชมความพยายามของ Tunnicliffe อย่างน้อยก็รู้สึกว่าภาคนี้เขาตั้งใจทำออกมามากกว่าภาคก่อน แต่ดีกรีความสนุก ความน่าติดตามก็ยังไม่มากเท่าไร – แต่คงเพราะดูแบบไม่คาดหวังน่ะครับ เลยไม่ผิดหวัง หรือจริงๆ ก็กะไว้แล้วล่ะว่าหนังคงประมาณนี้น่ะแหละ พอดูแล้วก็ประมาณนั้นจริงๆ

ได้แต่หวังว่าหนังชุด Hellraiser จะถือกำเนิดใหม่อีกครั้งกับภาครีบูทครับ ส่วนภาคเก่าๆ ในอดีต (ที่ทำออกมาเพื่อต่ออายุลิขสิทธิ์ไม่ให้หลุดมือ) ก็อาจกลายเป็นความทรงจำสีจางๆ ไป

ดาวครึ่งได้ครับ

Star12

(5/10)