Hypnotic” หักจนขาพลิกยังเทียบ Inception ไม่ติดแม้ปลายเล็บ

โรเบิร์ต โรดริเกซ (Robert Rodriguez) อาจไม่ใช่ผู้กำกับที่โด่งดังมากนักแม้ชื่อหนังอย่าง ‘Desperado’ หรือ ‘Spy Kid’ จะพอติดตรงซอกหูคอหนังยุค 90-2000 อยู่บ้าง หรือแม้แต่ ‘Alita : Battle Angel’ งานหนังไซไฟฟอร์มดีที่หลายคนเชียร์ให้มีภาคต่อก็ยังไม่อาจส่งให้ชื่อของโรดริเกวซติดอันดับผู้กำกับแห่งยุคเท่าใดนัก มีเพียงเครดิตร่วมกำกับซีรีส์อย่าง ‘The Mandalorian’ ซีซัน 3 ที่พอจะทำให้เห็นฝีมือสุดเก๋าของเขาอยู่บ้าง

ซึ่งนับว่าน่าแปลกใจไม่น้อยที่ผู้กำกับสายแอ็กชันแฟนตาซีอย่างเขาหันมาหยิบจับหนังทริลเลอร์ที่มีไอเดียสุดโต่งอย่าง ‘Hypnotic’ จับเอาเรื่องการสะกดจิตมาผูกโยงกับเหตุการณ์ปล้น และการหายตัวไปของลูกสาวพระเอกพร้อมจุดหักมุมที่เรียกได้ว่าเกินใครจะคาดคิดมาเป็นหนังที่เขาจะกลับสู่ฮอลลีวูดอีกครั้งของโรดริเกวซ

หนังเล่าเรื่องของ แดนนี รู้ค (เบน แอฟเฟล็ก – Ben Affleck) เจ้าหน้าที่สืบสวนที่ทุกข์ทรมานกับการหายตัวไปของลูกสาว ต้องมาพัวพันกับแผนปล้นสุดประหลาดเมื่อคนแปลกหน้า 4 คนกลายเป็นผู้สบคบคิดการปล้นร่วมกับ เดลเรย์น (วิลเลี่ยม ฟิตช์เนอร์ – William Fichtner) กุนซือการปล้นที่สะกดจิตบงการพวกเขา แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อกล่องนิรภัยที่เป็นเป้าหมายของ เดลเรย์น กลับกลายเป็นรูปถ่ายของลูกสาวที่ถูกลักพาตัวไป

งานนี้ แดนนี่ ต้องร่วมมือกับ อลิซ (ไดอานา ครูซ – Diana Cruz) แม่หมอที่สามารถสะกดจิตผู้คนได้ พวกเขาต้องร่วมมือกันหยุด เดลเรย์น และหาทางล้างมลทินให้ตัวเองในเหตุฆาตกรรมที่พวกเขาไม่ได้ก่อ รวมถึงหาคำตอบว่าแผนการของ เดลเรย์น แท้จริงแล้วเกี่ยวข้องกับลูกสาวของรู้คอย่างไร

บทหนัง ‘Hypnotic’ เขียนโดย แม็กซ์ บอเรนสตีน (Max Borenstein) ร่วมกับโรดริเกวซเอง ซึ่งก่อนอื่นขอชมในส่วนการเล่าเรื่องและการเอ็นเตอร์เทนคนดูนะครับ บทหนังขยันเร้าอารมณ์ผู้ชมแบบแทบทุก 5 นาที แถมมันยังหักมุมหลังหนังเดินเรื่องไปเพียง 60 นาทีเท่านั้น (จากความยาวหนัง 93 นาที) เพียงแต่สิ่งที่ทั้งบอเรนสตีนกับโรดริเกวซลืมไปคือการให้เหตุผลและที่มาที่ไปที่น่าเชื่อถือ ทำให้แม้หนังจะเดินเรื่องสนุกแค่ไหนแต่คนดูก็อดเกิดอาการเอ๊ะทั้งเรื่องไม่ได้

และยิ่งจุดที่มันหักมุมถูกเล่าแบบไม่มีที่มาที่ไปจนทำให้ความพยายามที่มันจะเป็นหนังทริลเลอร์ฉลาด ๆ แบบ ‘Inception’, ‘Source Code’ หรือกระทั่ง ‘Now you see me’ ดูไปไม่ถึงฝั่งและชวนส่ายหัวมากกว่าเซอร์ไพร์สด้วยความฉลาดของบทหนังอย่างที่มันหวังเอาไว้

ในด้านการกำกับของโรดริเกวซ ในฉากแอ็กชันอย่างฉากปล้นที่แม้ไม่ตูมตามแต่ดูมีรสนิยมก็ทำให้คนดูลุ้นตามได้ไม่ยากหรือเทคนิกพิเศษด้านภาพที่อดคิดถึงหนังอย่าง ‘Inception’ ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ไม่ได้ก็ทำให้งานภาพของหนังดูน่าตื่นตาตื่นใจไม่เสียชื่อผู้กำกับหนังแอ็กชันที่คร่ำหวอดในวงการมานาน

แต่สิ่งหนึ่งที่กลายเป็นรอยด่างพร้อยอย่างน่าเสียดายคือการกำกับการแสดงที่ต้องบอกว่าเข้าขั้นหายนะเลยทีเดียว แม้การได้ แอฟเฟล็ก, ครูซ และ ฟิตช์เนอร์ จะช่วยให้หนังดูมีภาษีชดเชยภาพของหนังเกรดบีของมันได้บ้าง แต่ในฉากที่ต้องมีตัวประกอบเยอะ ๆ เห็นได้เลยว่าโรดริเกวซไม่ละเอียดกับการกำกับถึงขนาดที่เราสังเกตเห็นนักแสดงบางคนเหมือนรู้ก่อนว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือภาพของนักแสดงบางคนที่แค่ถือปืนก็ยังดูไม่น่าเชื่อถือเลยและมันสังเกตได้ไม่ยากเมื่อได้ชมผ่านจอของโรงภาพยนตร์

สรุปแล้วถือเป็นงานหนังทริลเลอร์ที่ดูเอาสนุกพอได้ครับ แต่ต้องทำใจกับความไม่สมจริงในการกำกับของโรดริเกวซและบทหนังที่มีช่องโหว่จนผู้ชมบางท่านอาจทำใจเชื่อตามไม่ได้สักเท่าไหร่