Men in Black: International (2019) เอ็มไอบี หน่วยจารชนสากลพิทักษ์โลก

Untitle03332

ดูจบแล้วตระหนักเลยครับว่า “Men in Black ไม่ใช่หนังที่ใครจะมาทำก็ได้”

ยอมรับเลยว่าตลอดการดูหนังภาคนี้ ในหัวผมมันเอาแต่จะนึกถึงของดีของเด่นในหนัง 3 ภาคก่อน ไม่ว่าจะตัวละครที่มีคาแรคเตอร์ชัดสุดๆ ประเภทว่าเห็นตัวละครนั้นๆ แค่ไม่กี่นาทีก็จำบุคลิกได้เลย แล้วจากนั้นหนังก็จะเรียกอารมณ์ขันโดยการเอาตัวละครไปอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น สถานที่แปลกๆ ที่มีตัวประหลาดหรือบรรยากาศเพี้ยนๆ หรือไม่ก็เอาคาแรคเตอร์ตัวละครมา Contrast กันให้เกิดความขำ เช่น ตัวละครหนึ่งพล่ามไม่หยุดแต่อึกตัวละครจะนิ่งอะไรทำนองนี้ ว่าง่ายๆ คือหนังไม่ได้พยายามขำ แต่ให้อารมณ์ขันมันเกิดตามธรรมชาติ มันคือมวลความสนุกที่ก่อตัวขึ้นทีละน้อยจากองค์ประกอบดีๆ ทีละอย่าง

จุดเด่นอีกอย่างคือหนังเดินเรื่องเร็ว แต่ละฉากที่ร้อยเรียงเข้ามาจะมีผลให้เนื้อเรื่องเดินหน้าต่อไป (บางฉากมากทบางฉากน้อย แต่ทุกฉากมันจะมีอะไรในตัวของมันเองเสมอ) แบบนั้นทำให้มันกระชับครับ ขนาดว่าภาค 2 แม้จะหลุดฟอร์มไปบ้างก็ตาม แต่เพราะหนังเดินเรื่องต่อเนื่องแบบนี้แหละถึงทำให้ความเพลินยังอยู่ ยังดูเอาสนุกได้บ้าง

แต่กับ MIBI เสน่ห์ทั้งหลายหายไปหมด ซึ่งก็ต้องว่ากันตรงๆ ครับว่าคนกำกับ 3 ภาคแรกน่ะคือ Barry Sonnenfeld บวกด้วยดนตรีของ Danny Elfman, โปรดักชั่นดีไซเนอร์อย่าง Bo Welch และคอสตูมโดย Mary E. Vogt มู้ดแอนด์โทนของหนัง 3 ภาคแรกเลยไปในทางเดียวกัน (แม้คนเขียนบทของทั้ง 3 ภาคจะเป็นคนละคนกันหมดเลยก็ตาม แต่พี่ Barry เขาเอาอยู่ครับ)

ส่วนภาคนี้คนกำกับเปลี่ยนมาเป็น F. Gary Gray ที่จริงๆ ผลงานก่อนหน้าของเขาหลายเรื่องก็น่าจดจำครับ ไม่ว่าจะ Set It Off, The Negotiator, The Italian Job, Law Abiding Citizen หรือล่าสุดอย่าง The Fate of the Furious ก็ยังถือว่าดูเอามันส์ได้เพลินๆ แต่ในแง่หนึ่งพี่ท่านก็ไม่เคยจับหนังไซไฟผจญภัยเบาสมองแบบนี้มาก่อน เลยพอเข้าใจได้หากอะไรๆ จะยังไม่กลมกล่อมเท่าใดนัก

จริงๆ หนังมันมีกลิ่นของ MIB เดิมอยู่ในแง่ของฉาก เสื้อผ้า มนุษย์ต่างดาว ของไฮเทค แต่โทนไซไฟ+อารมณ์ขันมันไม่ใช่น่ะครับ มันเหมือน Gray เขาถนัดทำหนังที่เรื่องราวอยู่ในโลกจริง (แบบโลกปกติที่เราอยู่) ครั้นพอมาทำ MIBI เขาก็พยายามล่ะครับที่จะทำให้มันได้อารมณ์ไซไฟ พยายามเล่าไปตามบท เล่าไปตามสตอรี่บอร์ดที่วางไว้ แต่แม้จะพยายามยังไงโทนของเรื่องมันก็มาในแนวที่เขาถนัดมากกว่า

ว่าง่ายๆ คือแม้หนังจะเล่าถึงเรื่องไซไฟและมนุษย์ต่างดาว แต่อารมณ์กับสไตล์ของเรื่องมันได้อารมณ์เหมือนกำลังดูหนังแอ็กชันผจญภัยคนเดินดินที่มีอารมณ์ขันตามสถานการณ์เดินดินแบบ The Italian Job หรือ The Fate of the Furious มากกว่าจะเป็น MIB ที่เป็นโลกที่มีมนุษย์ต่างดาวเพ่นพ่านพร้อมด้วยอารมณ์ขันแบบเหนือจริงและเพี้ยนๆ หลุดโลก

Untitle03333

ถึงจุดนี้ผมก็ตระหนักอีกครับว่ารสมือผู้กำกับแต่ละคนเขาจะมีรสเฉพาะตัว อย่าง Tim Burton หรือ Sonnenfeld นั้นเขาจะมีสไตล์เพี้ยนๆ หลุดโลกๆ ผสมอยู่ และไม่ว่าเขาจะทำหนังแนวไหนก็ตาม ไอ้เจ้ารสเฉพาะตัวที่ว่าก็จะยังคงตามไปอยู่ในหนังเรื่องนั้นๆ เสมอ (ต่อให้หนังที่ทำเป็นแนวชีวิตก็ตาม) และ MIB ในความทรงจำของผู้ชม ก็คือรสแบบนั้นครับ มันมีความแปลกไม่เหมือนใคร (เหมือนมาจากนอกโลก) และมันทำให้ MIB อร่อยในแบบของตัวเอง

ในขณะที่ Gray นั้นผมก็ไม่คิดจะว่าอะไรเขาครับ เพราะเข้าใจว่าเขาก็มีแนวที่เขาถนัด แต่เผอิญว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่แนวของเขาจริงๆ ผลที่ได้มันเลยแปร่งๆ ตัวหนังอาจไม่ได้แย่มากมาย แต่ก็ไม่สนุกเต็มที่ มันมีช่วงขาดๆ เกิดๆ ผสมปนเปกันไปตลอด

และอีกจุดที่น่าเสียดายคือคาแรคเตอร์ตัวละครครับ 2 ตัวเอกไม่มีเสน่ห์เด่นๆ อะไรเลย และที่แปลกคือผมว่าทั้ง Chris Hemsworth และ Tessa Thompson ต่างก็แสดงได้โอเคนะ พวกเขาเล่นลื่นไปตามบท คือมันไม่ใช่เรื่องแสดงไม่ดีเลยครับ พวกเขาแสดงดี โดยเฉพาะ Thompson ที่ผมว่าแต่งชุดดำแล้วน่ารักดี แต่บทมันไม่ชัด คาแรคเตอร์มันงงๆ ซึ่งอันนี้ผมเสียดายจริงๆ เพราะการแคสคนมาเล่นนี่จริงๆ ผมว่าได้นะ แต่บทของ H กับ M นี่มันดูหลวมมาก อย่าง H (Hemsworth) นี่ดูลอยสุดๆ แม้หนังจะพยายามเปิดปมว่าสมัยก่อนเขาเก่งกว่านี้ก็เถอะ แต่ประเด็นคือเรานึกภาพตอนเขาเก่งไม่ออกเลยครับ ก็ไม่รู้จะว่าจะผูกเป็นปมสำหรับภาคต่อไปไหม แต่โดยส่วนตัวผมมองว่ามันเป็นการลดความน่าสนใจในคาแรคเตอร์ของ H ไปโดยปริยาย

ส่วน M (Thompson) นี่เปิดมาดูน่าสนใจ เธอดูฉลาด ช่างสังเกต ไม่เหมือนใคร แต่ไปๆ มาๆ กลับไม่มีอะไรมากกว่านั้น และที่หนักกว่าคือบางจังหวะเธอก็ดูกลายเป็น “ไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น ไม่ได้ช่างสังเกตอย่างที่คิด” ไปเสียนี่

และที่ผมรู้สึกไม่โอเคค่อนข้างมากคือการที่หนังมีตัวละครคล้ายๆ ตัวอิจฉา+ตัวจับผิดใส่ลงมาน่ะครับ นี่ยิ่งทำให้รู้สึกน่ะว่ามันไม่ใช่ MIB เลย มันดูน่ารำคาญมากไป มันทำให้ภาพขององค์กรชายชุดดำในภาคนี้ดูไม่ขลังเหมือนแต่ก่อน ซึ่งพอดูไปจนจบก็พอเข้าใจน่ะครับว่าตัวละครที่ดูน่ารำคาญนี้มันมีผลต่อเนื้อเรื่องในบางส่วน แต่ขณะเดียวกันมันก็ลดทอนความขลังบางส่วนของโลก MIB (ออกแนวได้อย่าง (ที่ไม่ได้สำคัญ) แต่เสียอย่าง (ที่สำคัญมากๆ) ไป)

ไปๆ มาๆ Emma Thompson ในบท O ดูโอเคสุด ซึ่งนึกไปนึกมานี่ผมว่าบท O ในภาคก่อนนี่มีแค่ไม่กี่นาทีนะครับ แต่บทเธอยังดูมีอะไรและอานิสงส์ก็แผ่มาถึงภาคนี้ด้วย ในขณะที่ Liam Neeson ก็ตกอยู่ในฐานะเดียวกับเหล่าดารานำครับ คือจริงๆ เขามีฝีมือและมีความสามารถมากกว่าบทที่ได้รับ แต่บทกลับไม่มีอะไรให้เหล่าดาราได้ใช้ศักยภาพที่พวกเขามีเหลือๆ สักเท่าไร

พูดถึงตรงนี้ก็ทำให้นึกได้อีกอย่างในเรื่องของบทครับ นั่นคือตัวเอกทั้ง 2 ไม่ได้แสดงความเก่ง และหลายครั้งมากๆ ที่พวกเขารอดเพราะด้วยความบังเอิญหรือรอดตามที่บทกำหนด ซึ่งในแง่หนึ่งบทหนังแบบนี้อาจสื่อถึง “ความสำคัญของโยงใยในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ” น่ะนะครับ แต่การนำเสนอที่หนังเป็นมันทำให้มองว่ามันคือ “ลูกบังเอิญ” เสียมากกว่า

และรู้สึกได้ครับว่าหนังพยายามจะสื่อถึง “ราคา” ที่เหล่าชายและหญิงชุดดำต้องจ่ายไปกับการมาทำงานตรงนี้ แต่มันก็ยังไม่มีพลังมากพอ เหมือนนำเสนอให้พอรู้ แต่ไม่ได้ลงลึก (คล้ายๆ ภาค 2 ที่จับประเด็นนี้เหมือนกัน และอาจจะไม่ได้ลงลึกเหมือนกัน แต่อย่างน้อยฉากท้ายๆ ตอนไคลแม็กซ์ หนังก็กระทุ้งความรู้สึกให้เราตระหนักถึงประเด็นนี้ได้มากกว่าภาคนี้)

Untitle03334

แล้วจริงๆ MIBI เหมือนจะพาเราเปิดจักรวาลไปดูสายงานที่กว้างไกลกว่าเดิมขององค์กรชายชุดดำ เพราะหนังพาเราไปอังกฤษ ไปโมรอคโคซึ่งจริงๆ มันสามารถเปิดโลกของ MIB ในประเทศเหล่านี้ได้ แต่สิ่งที่ปรากฏบนจอกลับออกมาธรรมดา หนังไม่ได้พาเราไปสัมผัสกับโลกของมนุษย์ต่างดาวที่แทรกซึมอยู่ตามที่ต่างๆ แบบที่ภาคก่อนๆ เคยทำไว้

อะไรเหล่านี้ยิ่งทำให้ตระหนักครับว่า Vision ของผู้กำกับนี่สำคัญจริงๆ

ในแง่ดนตรีประกอบ ภาคนี้ Danny Elfman ยังกลับมาทำ แล้วได้ Chris Bacon มาร่วมทำด้วย แต่กลายเป็นว่าสกอร์ที่ปกติจะช่วยเสริมอารมณ์ให้หนังชุดนี้ได้เสมอ (โดยเฉพาะซีนกินใจ) กลับไม่ได้มีพลังแบบเก่าก่อน จนอดคิดไม่ได้ครับว่าพอตัวหนังมันไม่ชัด สกอร์ก็เลยพลอยพลังหายไปด้วย (เพราะครั้งก่อนๆ ซีนกับสกอร์จะรวมพลังกันจนก่อให้เกิดภาพผสมดนตรีที่น่าจดจำ)

ก็ผิดหวังอยู่ครับ แต่สิ่งที่ผมรู้สึกมากกว่าผิดหวังคือ “เสียดาย” เพราะจริงๆ ผมชอบหนังชุดนี้ครับ และผมดีใจนะที่มีคนคิดจะทำต่อ แต่พอหนังออกมาแบบนี้ก็พูดไม่ออกเลยครับ คือฟอร์มน่ะดี ดาราก็ดี แต่ทิศทางเรื่อง โทนเรื่อง และบรรยากาศความเป็นหนังไซไฟมนุษย์ต่างดาวมันไม่ถึงรส ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่คิดออกก็คือหนังเลือกผู้กำกับไม่ตรงเป้าน่ะครับ หนังเลยพลาดเป้าไปเสียเยอะ

แต่อันนี้ก็พอเข้าใจน่ะครับที่ทีมงานเลือก F. Gary Gray มา ส่วนหนึ่งก็คงเพราะเขามีหนังร้อยล้านในทำเนียบหลายเรื่อง และที่สำคัญคือเขาเป็นคนเดียวที่เคยได้รับช่วงกำกับหนังภาคต่อจากหนังที่ Barry Sonnenfeld เคยทำไว้

Sonnenfeld ทำ Get Shorty ส่วน Gray ได้ทำ Be Cool ที่เป็นภาคต่อน่ะครับ ซึ่ง Be Cool ก็พอโอเคอยู่ ส่วนหนึ่งคงเพราะได้ตัวนำจากภาคก่อนกลับมาแสดง แต่หากเทียบในเรื่องอารมณ์ขันแปลกๆ แล้ว Be Cool ยังสู้ Get Shorty ไม่ได้

และสำหรับครั้งนี้ ประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยอีกครั้งครับ

แต่อย่างน้อยข้อดีของหนังก็คือ มันทำให้ผมรักไตรภาคแรกของ MIB มากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะภาค 2 ที่ผมเคยรู้สึกว่าสนุกน้อยที่สุด แต่มาตอนนี้มันดูดีขึ้นกว่าเดิิมเยอะ

ต้องขอบคุณภาคนี้เลยครับ สำหรับเรื่องนี้

สองดาวเชิงลบครับ

Star21

(6/10)