Stranger Things Season 1 (2016) สเตรนเจอร์ ธิงส์ ปี 1

14642184_1349201751777289_1292732527765118640_n

ผมนี่หาเรื่องใส่ตัวโดยแท้ครับ ดันเริ่มดูซีรี่ส์นี้ตอนสองทุ่มกว่าๆ กะว่าดู 2 ตอนก็พอ… แล้วเป็นไงล่ะ พอเครื่องติดเท่านั้นล่ะ ดูลากยาวจนครบ 8 ตอน นอนประมาณตีสามเห็นจะได้ ^_^

ซีรี่ส์ชุดนี้ผมนิยามว่า “ไม่ใหม่ แต่สด” ครับ ที่บอกว่าไม่ใหม่ก็เพราะสิ่งที่เราได้พบเจอในซีรี่ส์นี้มันไม่ใช่ของใหม่อะไร แต่มันคือสไตล์หนังสยองขวัญ-ไซไฟยุค 80 – 90 ที่คอหนังยุคนั้นแทบจะนึกออกเป็นช็อตๆ แล้วว่าฉากแบบนี้มาจากหนังเรื่องไหนหรือผู้กำกับคนใด

อย่างพล็อตเรื่องนี้ก็ชวนให้นึกถึงนิยายของ Stephen King มาแต่ไกลครับ เรื่องประหลาดลึกลับที่เกิดในเมืองเล็กๆ ตอนแรกก็เหมือนจะไม่มีอะไร แต่พอเรื่องดำเนินไปเหตุการณ์มันก็ชักจะใหญ่ขึ้นทุกที อีกทั้งตัวละครในเรื่องก็มีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน ทุกคนมีปมและความเด่นในแบบของตัวเองทั้งสิ้น

ซ้ำยังชวนให้นึกถึงหนัง Steven Speilberg ครับ เพราะส่วนสำคัญของเรื่องก็จะว่าด้วยการผจญภัยของเด็กเนิร์ดๆ กลุ่มหนึ่ง กับเพื่อนใหม่ที่มีความไม่ธรรมดา ผสมด้วยเรื่องของสัตว์ประหลาดลึกลับ ก็คิดไปถึง E.T., The Goonies แล้วก็ Gremlins ปนๆ กันไป

ตามด้วยดนตรีหลอนๆ แบบที่ลุง John Carpenter (คนกำกับ The Thing, Halloween และ In the Mouth of Madness) นำมาใช้ในหนังเขาเสมอ เพราะรายนี้จะแต่งเพลงให้กับหนังทุกเรื่องที่เขากำกับเสมอ

สไตล์เพลงในหนังลุง John จะไม่หวือหวาครับ แต่จะใช้การเอาตัวโน้ตเดิมๆ มาเล่นซ้ำๆ จนก่ออารมณ์หลอน+ผิดปกติขึ้นในใจผู้ชมและผู้ฟังทีละน้อยๆ ซึ่งเราจะได้ยินดนตรีสไตล์นี้ปรากฏในหนังสยองหรือไซไฟยุค 80 บ่อยครั้งมากๆ ขณะเดียวกันเรื่องของตัวประหลาดก็ชวนให้นึกถึง H.P. Lovecraft อยู่เหมือนกัน

Untitled03477

พล็อตเรื่องก็ว่าด้วยการหายตัวไปของเด็กคนหนึ่งที่ชื่อวิลล์ (Noah Schnapp) ครับ ทำให้แม่ (Winona Ryder), หัวหน้าตำรวจ จิม ฮ็อปเปอร์ (David Harbour) และผองเพื่อนของวิลล์อีก 3 หน่อ ต้องช่วยกันตามหา

แต่ยิ่งพยายามหาตัววิลล์มากเท่าไร มันก็มีปมปริศนาโผล่มามากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งอันตรายที่มองไม่เห็นก็เหมือนจะกำลังคืบคลานมาสร้างความสยองให้กับเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ไหนจะเด็กหญิงลึกลับไร้ชื่อ (Millie Bobby Brown) ที่พวกเพื่อนของวิลล์ไปเจออีก

ซีรี่ส์ปีแรกยาว 8 ตอนครับ แล้วมันก็ได้รับการตอบรับแง่บวกแบบสุดๆ ซึ่งผมก็บอกได้เต็มปากว่าชอบกับเขาเหมือนกันครับ แม้มันจะไม่ได้ใหม่อะไร แต่มัน “สด” มันสามารถเอาของเก่ามายำแล้วนำเสนอเป็นซีรี่ส์ใหม่ได้อย่างน่าปรบมือ

เรื่องราวเล่าได้อย่างน่าติดตามครับ โอเค 2 ตอนแรกอาจไม่ได้หวือหวาอะไร แต่ปมที่ทิ้งไว้มันค่อยๆ สร้างเรื่องราวในหัวคนดู มันทำให้เราผูกพันกับตัวละครทีละน้อย มันทำให้เราอินไปกับเหตุการณ์ที่เกิดในเมืองมากขึ้นๆ

ครับ มันอาจไม่ได้ใหม่ แต่มัน “ปลุกชีพ” เรื่องราวเดิมๆ ให้ดูน่าติดตามและดูมีชีวิตขึ้นมาได้สำเร็จ และผมเชื่อว่ามันยัง “ปลุกความเป็นเด็ก” ให้คอหนังหลายๆ คนหลายๆ คนนึกถึงสมัยเราดูหนังแนวนี้เป็นครั้งแรกๆ เมื่อ 20 – 30 ปีก่อนด้วย

ดาราทุกคนเล่นกันได้ดีมากครับ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กๆ ที่แสดงได้เยี่ยมทุกคน การเดินเรื่องอาจไม่ได้ฉับไวอะไรมาก แต่ก็น่าติดตามครับ ยกเว้นใครชอบอะไรที่หวือหวามากๆ หรือแปลกใหม่โคตรๆ ก็อาจไม่โดนซึ่งก็ไม่แปลกครับ เพราะอย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่ซีรี่ส์ที่เน้นความแปลกใหม่ แต่มันเหมือนเป็นการ Retro เอาสไตล์เก่าๆ มาเล่าใหม่มากกว่า ซึ่ง Matt Duffer กับ Ross Duffer ก็สามารถทำมันได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียว

ซีรี่ส์นี้ก็เหมือนที่ J.J. Abrams ทำ Super 8 นั่นแหละครับ ทำออกมาคารวะหนังยุคนี้เหมือนกัน ไม่ได้เน้นมันส์หรือเน้นแปลก แต่เน้นรำลึกวันเก่าๆ ครับ

รอดูปี 2 ต่อครับ ปีหน้ามาแน่นอน

สี่ดาวครับ

Star41

(9/10)