“The Lost King กษัตริย์ที่สาบสูญ” ถึงเวลาปล่อยแพชชั่น..ให้นำทางชีวิต

ปลายปีนี้มีหนังอังกฤษฟอร์มเล็ก ๆ แต่ทรงดี แถมยังฟีลกู้ดต่อใจไม่เบา มาลงโรงฉายเป็นทางเลือกในการตั้งปณิธานใหม่ในปีใหม่กับการปลุกพลังแพชชั่นในชีวิตอีกครั้ง กับหนังที่ชื่อว่า “The Lost King กษัตริย์ที่สาบสูญ” ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริงอันน่าเหลือเชื่อว่าของผู้หญิงธรรมดา ๆ ที่ใช้ความรู้สึกและแพชชั่นของตัวเอง นำทางไปสู่การค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ของชนชาติอังกฤษเลยทีเดียว

The Lost King กษัตริย์ที่สาบสูญ ว่าด้วยเรื่องราวในปี 2012 มีการค้นพบเศษซากเกี่ยวกับกษัตริย์ริชาร์ดที่ 3 ที่สูญหายไปกว่า 500 ปีที่ใต้พื้นที่จอดรถในเมืองเลสเตอร์ซิตี้ การค้นพบนี้ทำให้นักประวัติศาสตร์มือสมัครเล่น ฟิลิปป้า มุ่งมั่นที่จะร่วมวิจัยศึกษาอย่างไม่ลดละ แม้ว่าเพื่อนกับครอบครัวของเธอจะไม่เข้าถึงความหลงใหลของเธอในครั้งนี้ แต่หารู้ไม่ว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเผยความลับทางประวัติศาสตร์ที่ถูกเพิกเฉยไปหลายทศวรรษ และมันกลายเป็นปมโต้เถียงระดับชาติของอังกฤษในครั้งนี้เลยทีเดียว

หนังดัดแปลงมาจากหนังสือบันทึกของเจ้าของเรื่องราวตัวจริง อย่าง ฟิลิปป้า แลงก์ลีย์ ที่ชื่อว่า The Search for Richard III ได้ผู้กำกับลายครามฝีมือดีจากอังกฤษ “สตีเฟ่น เฟียร์ส” (จาก The Queen) มาปลุกปั้นถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้ อาจจะกล่าวได้ว่า The Lost King เป็นหนังที่ยังคงเอาไว้ด้วยความอังกฤษจ๋า ทั้งโทนของหนัง จังหวะการเล่าเรื่อง หรือมุมต่าง ๆ ที่นำเสนอออกมา มีไฮไลต์ของความเป็นหนังบริติชโดยแท้ปะปนอยู่ในแทบทุกอณู

ไม่รู้ว่าจะเป็นมุมที่ดีหรือไม่เหมือนกัน กลับรู้สึกว่า The Lost King เป็นหนังที่วนอยู่อ่างและค่อยข้างรักษาตัวเองอยู่ในเซฟโซนไปสักหน่อย ทำให้วิธีการนำเสนอของหนังเรื่องนี้ เป็นได้แค่หนังฟีลกู้ดดี ๆ ที่ดูได้เพลินเรื่องหนึ่ง ยังไม่ถึงขั้นมีมุมอะไรที่น่าจดใจและประทับใจได้ขึ้นใจสักเท่าไหร่ มองอีกมุมอาจจะเพราะตัวหนังค่อนข้างหาวิธีเล่าได้ยากสักหน่อยด้วย เพราะมีเส้นบาง ๆ ที่ค่อนข้างอธิบายยาก ระหว่างความเพ้อเจ้อกับแพชชั่นที่จุดนี้ก็ยังทำให้คนดูรู้สึกทะแม่ง ๆ อยู่เช่นเดียวกัน

The Lost King อาจจะเป็นหนังอังกฤษสูตรสำเร็จ ที่ไม่ได้มีไคลแมกซ์และจุดเด่นที่หวือหวาอะไรมากนัก แต่คนดูก็สามารถเพลิดเพลินกับการเก็บข้อมูลรายละเอียดทางประวัติศาตร์ชาติอังกฤษตามตัวละครหลักไปได้เพลินดี แม้บทจะค่อนข้างซ้ำซากและเชยไปสักนิด แต่ก็เป็นอะไรที่ย่อยง่าย และยังน่าบริโภคแบบไม่ขัดใจสักเท่าไหร่ มอบฟีลดี ๆ ถึงคนดูตลอดทั้งเรื่องได้ดี และยังสอดแทรกแง่คิดในการใช้ชีวิตของคนที่กำลังตกอยู่ในภาวะ Burnout Syndrome ได้อีกด้วย

ทางด้านการแสดงในหนังเรื่องนี้ แทบไม่ต้องเป็นกังวลใด ๆ เลย “แซลลี่ ฮอวกินส์” ก็คือแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้อยู่หมัด กับการแสดงในรูปแบบตัวของเธอเอง แอคติ้งที่เป็นธรรมชาติและไม่ต้องห่วงว่าจะเจริญรอยตามคาแรกเตอร์ต้นฉบับ เธอดีไซน์มันออกมาในรูปแบบของเธอเอง และก็ทำออกมาได้น่าพอใจ เช่นเดียวกับ “สตีฟ คูแกน” ที่มาเป็นส่วนเสริมที่ลงตัว เป็นตัวละครสมทบที่มาได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งเรื่องนี้เขายังรับหน้าที่ช่วยดัดแปลงเขียนบทหนังให้อีกด้วย

เอาเป็นว่าหากใครที่ชื่นชอบเกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์และหนังสไตล์อังกฤษจ๋า ๆ เรื่องนี้น่าจะตอบโจทย์คุณได้เป็นอย่างดี มันเป็นหนังที่อยู่ในเซฟโซนไปสักหน่อย พล็อตไม่ได้มีอะไรที่หวือหวาอะไร ร้อยเรียงเรื่องได้ลงล็อกและตามจังหวะแบบไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ใช่หนังที่แย่อะไรเลย เป็นหนังดี ๆ ที่ให้ฟีลดี ๆ กับผู้ชม ดูได้เพลินไปตลอดทั้งเรื่อง ได้ทั้งความรู้สึกดี ๆ และข้อมูลทางประวัติศาสตร์อีกแง่ที่ยังไม่ค่อยมีใครใคร่สนใจเป็นวงกว้างสักเท่าไหร่ด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง The Lost King กษัตริย์ที่สาบสูญ

  • ประเภท: ดราม่า
  • ผู้กำกับ: สตีเฟ่น เฟียร์ส
  • นำแสดงโดย: แซลลี่ ฮอวกินส์, สตีฟ คูแกน
  • ความยาว: 108 นาที
  • กำหนดฉายในไทย: 29 ธันวาคม 2022 (ในโรงภาพยนตร์)

Movie.TrueID METRIC: The Lost King กษัตริย์ที่สาบสูญ

  • ภาพรวม
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10)
  • การเล่าเรื่อง
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10)
  • การแสดง
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰ (7/10)
  • เทคนิคงานสร้าง
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰ (7/10)
  • บทภาพยนตร์
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10)

————————————-