เอ็มบั๊ปเป้ฮีโร่!! ซัดชัยช่วยทัพตราไก่ “ฝรั่งเศส” พลิกกลับมาเฉือนเอาชนะ “สเปน” ช่วงท้ายเกม 2-1 !!!

เกมการแข่งขัน ระหว่าง ทัพกระทิงดุ ทีมชาติสเปน พบกับ ทัพตราไก่ ทีมชาติฝรั่งเศส ในศึกฟุตบอล ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ฤดูกาล 2020-21 รอบชิงชนะเลิศ เมื่อค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยเล่นกันที่สนาม ซาน ซิโร่, เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี (สนามกลาง)

เกมนี้ ทีมชาติ สเปน ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ หลุยส์ เอ็นริเก้ มาเล่นในระบบ 4-3-3 เช่นกัน นำทีมโดย เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ กองกลางตัวรับเชิงสูง เฟร์ราน ตอร์เรส กองหน้ากึ่งปีกตัวทำเกม และ มิเกล โอยาร์ซาบัล ศูนย์หน้าตัวจบสกอร์ของทีม

ขณะที่ทางฝั่ง ทีมชาติ ฝรั่งเศส ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ ดิดิเย่ร์ เดส์ช็องส์ มาเล่นในระบบ 3-4-1-2 นำทีมโดย ปอล ป็อกบา มิดฟิลด์ห้องเครื่องจอมลีลา อองตวน กรีซมันน์ ตัวทำเกมอยู่หลังกองหน้า และ คาริม เบนเซม่า ศูนย์หน้าตัวความหวังของทีม

นาที 6

เริ่มเกมมา เป็นทางฝั่งทัพตราไก่ ทีมชาติ ฝรั่งเศส ได้ทักทายก่อน แล้วเกือบที่จะได้ประตูขึ้นนำเร็ว เป็นจังหวะ ปอล ป็อกบา แทงบอลทะลุช่องจากกลางสนามเข้าไปในเขตโทษให้ คาริม เบนเซม่า ทำลายกับดักล้ำหน้า ได้หลุดเดี่ยวไปแตะหลบ อูไน ซิม่อน ผู้รักษาประตูสเปน ทว่ามุมยิงเหลือน้อย เจ้าตัวพยายามตบเข้ากลางให้เพื่อนแทนแต่โดน เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า ตามมาขวางทาง เคลียร์ทิ้งออกไปได้ทัน

นาที 11

ทัพกระทิงดุ ทีมชาติ สเปน ที่ได้ทักทายบ้าง เป็นจังหวะ เฟร์ราน ตอร์เรส ดีดบอลทะลุช่องตัดหลังแนวรับให้ ปาโบล ซาราเบีย วิ่งโฉบฉีกหนีตัวประกบไปถึงบอลที่หน้าเสาแรกขวามือ ก่อนจะตวัดยิงเร็วด้วยขวา แต่บอลเบาขาดน้ำหนักแถมตรงตัวของ อูโก้ โยริส ผู้รักษาประตูฝรั่งเศส รับเอาไว้ได้สบาย

นาที 25

เกมดำเนินมาถึงครึ่งทางของครึ่งแรก เป็นทางฝั่งทัพกระทิงดุ สเปน ที่ยกระดับรูปเกมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เป็นฝ่ายครองบอล เล่นสั้นทำชิ่งตามสไตล์ บุกเข้าใส่ทัพตราไก่ ฝรั่งเศส ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่ายังไม่สามารถฝ่าแนวรับฝรั่งเศส เข้าไปจบสกอร์เหน่ง ๆ ในพื้นที่สุดท้ายได้เลย

นาที 32

รูปเกมยังคงเหมือนเดิม โอกาสลุ้นประตูของทั้งสองทีมยังแทบไม่มีให้เห็น ซึ่งถ้าจะมีแบบให้ได้เสียว ก็คงจะมีเพียงแค่จังหวะที่ ฌูลส์ กุนเด้ เหมือนจะไปทำแฮนด์บอลในกรอบเขตโทษตัวเอง ทว่า แอนโธนี่ เทย์เลอร์ ผู้ตัดสินชาวอังกฤษ เช็ค VAR แล้วกลับลงมาไม่ได้ว่าอะไร เล่นเอาแฟน ๆ ทัพตราไก่ ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

นาที 40

ทีมชาติ ฝรั่งเศส ต้องมาเสียโควต้าเปลี่ยนตัวอย่างรวดเร็วตั้งแต่ครึ่งแรก แถมเป็นนักเตะคนสำคัญอย่าง ราฟาเอล วาราน ปราการหลังจอมแกร่ง เป็นจังหวะที่เจ้าตัวเหยียดขาเตะบอลทิ้ง แล้วเกิดอาการบาดเจ็บ สุดท้ายเล่นต่อไม่ไหว ดีดิเย่ร์ เดส์ช็องส์ กุนซือทัพตราไก่ ตัดสินเปลี่ยนเอา ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ ลงมาทำหน้าที่แทนในตำแหน่งเดียวกัน จบครึ่งแรกเสมอกัน 0-0

หมดเวลาครึ่งแรก ทั้งสองทีมเปิดหน้าแลกกันอย่างสนุก เป็นทางฝั่งทีมชาติ สเปน ที่ครองบอลได้มากกว่าตามสไตล์ จังหวะส่วนใหญ่จะชิงเหลี่ยมกันอยู่ที่ตรงกลางสนาม โอกาสลุ้นประตูมีให้แฟน ๆ ได้เห็นแค่ไม่กี่ครั้ง สกอร์ยังเสมอกันอยู่ที่ 0-0 !!!

นาที 50

เริ่มครึ่งหลังมา เป็นทางทีมชาติ ฝรั่งเศส ที่แก้เกมด้วยการดันกันขึ้นมาไล่บอลเพรสซิ่งสูง เน้นเข้าสกัดเร็วและผนักหน่วงขึ้น ทำเอาทีมชาติ สเปน ไม่สามารถครองบอลทำเกมรุกได้ง่าย ๆ เหมือนในครึ่งแรก

นาที 53

ทีมชาติ สเปน ตัดบอลได้แล้วสวนกลับเร็ว มิเกล โอยาร์ซาบัล แทงบอลออกซ้ายให้ ปาโบล ซาราเบีย หลุดไปถึงริมกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนจะครอสเลียดไปที่เสาไกลให้ เฟร์ราน ตอร์เรส ทว่าเจ้าตัวเข้าชาร์จโล่ง ๆ ไม่ทัน บอลกลิ้งออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย

นาที 60

เกมดำเนินมาครบหนึ่งชั่วโมงเต็ม เกมใส่กันไม่ยั้งตรงกลางสนาม สถานการณ์ดูเหมือนทางฝั่งทีมชาติ สเปน จะกลับมาครองบอลได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดตามสไตล์ ทว่าแนวรับทีมชาติ ฝรั่งเศส ก็ยังเหนียวแน่น ช่วยกันต้านทานเอาไว้ได้หมด โอกาสง้างยิงเน้น ๆ ในเขตโทษของทั้งคู่ แทบไม่มีให้เห็นเลย

นาที 61

ทีมชาติ สเปน ทำการเปลี่ยนตัว โดยกุนซือ หลุยส์ เอ็นริเก้ ปรับหมากด้วยการส่ง เจ้าหนู เยเรมี่ ปิโน่ ปีกเนื้อหอมจากสโมสรบียาร์เรอัล ลงสนามมาลากเลื้อยสร้างความปั่นป่วนให้แนวรับฝรั่งเศส แทนที่ของ ปาโบล ซาราเบีย ศูนย์หน้ารุ่นพี่

นาที 63

ทีมชาติ ฝรั่งเศส เกือบได้ประตูขึ้นนำ เป็นจังหวะ ปอล ป็อกบา จ่ายเร็วให้ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ กระชากมาถึงหน้าเขตโทษ เจ้าตัวไหลต่อให้ คาริม เบนเซม่า หลุดขึ้นมาในกรอบเขตโทษด้านซ้าย ก่อนจะตบเลียดเข้าไปที่เสาแรกให้ เตโอ เอร์น็องเดซ ได้แปด้วยซ้ายเน้น ๆ ไม่กี่หลา ส่งบอลพุ่งไปชนคานเต็ม ๆ กระเด้งลงพื้น กระดอนออกมานอกเส้นประตูอย่างน่าเสียดาย

นาที 64 GOAL!!!

ทัพกระทิงดุ ทีมชาติ สเปน มาได้ประตูขึ้นนำไปก่อนเป็น 1-0 !!! เป็นจังหวะต่อเนื่องจากลูกยิงชนคานของคู่แข่งกระเด้งออกมา แล้วเป็น เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ วางบอลยาวสวนกลับเร็วขึ้นหน้ามาให้ มิเกล โอยาร์ซาบัล เกี่ยวบอลลงแล้วแตะหนีเอาชนะ ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ ได้หลุดเดี่ยวเข้าไปในเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนจะก้มหน้ากดเลียดเล่นทางด้วยซ้ายเน้น ๆ หนีตัว อูโก้ โยริส ผู้รักษาประตูฝรั่งเศส พุ่งกระดอนพื้นเสียบเสาไกลขวามือ เข้าประตูไป ตุงตาข่าย อย่างสวยงาม

นาที 66 GOAL!!!

ทัพตราไก่ ทีมชาติ ฝรั่งเศส ตามตีเสมอได้ทันควันเป็น 1-1 !!! เป็นจังหวะ ปอล ป็อกบา จ่ายบอลเร็วให้ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ลากจี้ขึ้นมาถึงหน้าเขตโทษแล้วไหลฝากไปที่ คาริม เบนเซม่า ทางริมกรอบฝั่งซ้าย เจ้าตัวโยกแต่งบอล ตัดเข้าในเขตโทษนิดนึง ก่อนจะบรรจงปั่นด้วยขวาเน้น ๆ ส่งบอลบอลพุ่งแรงโค้งสวยหนีมือ อูไน ซิม่อน ผู้รักษาประตูสเปน เสียบสามเหลี่ยมขวามือ เข้าประตูไป ตุงตาข่าย อย่างเหนือชั้น

นาที 69

ทัพตราไก่ ทีมชาติ ฝรั่งเศส ได้ลูกเตะมุมทางฝั่งซ้าย อองตวน กรีซมันส์ เปิดบอลโด่ง โค้งสวยมาที่กลางประตู แล้วเป็น ปอล ป็อกบา ได้เทคตัวขึ้นโหม่งสะบัดกดลงพื้นเหน่ง ๆ ทว่าบอลดันพุ่งไปตรงตัวของ อูไน ซิม่อน ผู้รักษาประตูสเปน รับเข้าซองเอาไว้ได้สบาย

นาที 71

ทีมชาติ ฝรั่งเศส พลาดโอกาสทองที่จะได้ประตูพลิกขึ้นนำ เป็นจังหวะผู้เล่นสเปนจ่ายบอลคืนหลังพลาดมาเข้าทาง คาริม เบนเซม่า บริเวณหัวกระโหลก เจ้าตัวจับหนึ่งทีแล้วดีดเร็วเข้าไปในเขตโทษฝั่งซ้ายต่อให้ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ได้วิ่งมาแปด้วยขวาโล่ง ๆ ทว่าซัดบดไปหน่อย บอลเบาแถมกลิ้งไปตรงตัวของ อูไน ซิม่อน ผู้รักษาประตูสเปน รับไว้ได้อย่างน่าเสียดาย 

นาที 80 GOAL!!!

ทีมชาติ ฝรั่งเศส มาได้ประตูพลิกแซงขึ้นมานำเป็น 2-1 !!! เป็นจังหวะ เตโอ แอร็งน็องเดซ แทงบอลทะลุช่องเข้าไปในเขตโทษฝั่งซ้ายให้ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ได้หลุดเดี่ยวไปสับขาหลอก อูไน ซิม่อน ผู้รักษาประตูสเปน หนึ่งที ก่อนจะแปเร็วด้วยซ้ายเน้น ๆ สวนตัวนายทวารกระทิงดุ เข้าประตูไป ซุกก้นตาข่าย อย่างสวยงาม ผู้ตัดสินเช็ค VAR อยู่พักใหญ่ สุดท้ายยืนยันให้เป็นประตู

นาที 88

ช่วงท้าย ทัพกระทิงดุ สเปน พลาดโอกาสตีเสมอไปอย่างน่าเสียดาย เป็นจังหวะ  มิเกล โอยาร์ซาบัล ได้วอลเลย์เน้น ๆ ในเขตโทษ บอลพุ่งแรงน่ากลังแต่ดันตรงตัวของ อูโก้ โยริส ผู้รักษาประตูฝรั่งเศส ไม่พลาด ผวาปัดทิ้งออกมาได้ทันหวุดหวิด

หมดเวลาการแข่งขัน เป็นทีมชาติ ฝรั่งเศส พลิกเกมมาเฉือนเอาชนะทีมชาติ สเปน ไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 !!! คว้าแชมป์ฟุตบอล ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ฤดูกาล 2020-21 ไปครองได้สำเร็จ เป็นการคว้าแชมป์รายการนี้ เป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์ของชาติอีกด้วย